อยากเป็นเถ้าแก่ต้องรู้!! 5 กลยุทธ์พื้นฐาน คว้าโอกาสทางธุรกิจ
1.การแข่งขันด้วยต้นทุนที่ต่ำกว่าคู่แข่ง
2.การแข่งขันด้วยความแตกต่าง
3.การแข่งขันด้วยต้นทุนและตลาดเป้าหมายจะแคบลง
4.การแข่งขันที่มุ่งเน้นคุณค่าให้ลูกค้าเหนื่อกว่าคู่แข่ง
5.การแข่งขันด้วยต้นทุนผสมกับความแตกต่าง
.
ที่มา : ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
ไปติดเกาะ พักรีสอร์ตใหม่เกาะล้าน โค้งมนสวย สวนมีเสน่ห์ ห้องพักเก๋แนวมินิมอล
อยากไปเที่ยววันหยุดแต่ไม่อยากไปไกล วันนี้บอสจะพาไปเกาะล้านขับรถแค่สองชั่วโมงก็ถึงทะเลแล้ว เชื่อว่าหลายคนที่เคยไปเกาะล้าน คงพอรู้ถึงความน้ำใสของทะเล คาเฟ่ ร้านอาหาร และที่สำคัญคือที่พักมากมายที่เรียงรายสองข้างทาง ซึ่งวันนี้บอสจะพาไปทำความรู้จักกับรีสอร์ทน้องใหม่ที่เพิ่งเปิดได้ไม่ถึงเดือนใจกลางเกาะล้าน ใครจะเชื่อว่านี่เราอยู่เกาะล้าน
กับ คาร่า คาร่า รีสอร์ต (Cara Cara Resort) เกาะล้าน ซึ่งคำว่า ‘Cara’ เป็นชื่อส้มของประเทศสเปนที่มีสีสันสดใส และนำเสนอความเป็นฤดูร้อน อีกนัยหนึ่งคำนี้ในภาษาลาตินมีความหมายว่า ‘เพื่อน’ รีสอร์ตนี้จึงสื่อความรู้สึกvibe ของซัมเมอร์และฟีลเพื่อนที่มาเอ็นจอยกันในบรรยากาศสดใจ สบายตา ซึ่งที่นี่เพิ่งเปิดให้บริการแบบ Soft Opening เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 2565 ที่ผ่านมาเลย ใครกำลังมองหาที่พักใหม่ๆ มาถูกทางแล้ว
ที่ตั้ง
คาร่า คาร่า รีสอร์ต ตั้งอยู่บนเกาะล้าน เมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี
คะแนนสำหรับที่นี่
ราคา 9/10 (ตอนเราไปเป็นราคาช่วง Soft Opening ราคากับห้องพักคุ้มค่ามาก)
บรรยากาศ 10/10 (บรรยากาศที่นี่สดใจ รู้สึกสดใสในสไตล์หรูหรา)
การบริการ 10/10 (ที่นี่ดูแลแขกดีมากทั้งให้ข้อมูลและการบริการ)
พามาถึงจะเห็นป้ายตัวใหญ่ แค่ป้ายก็มินิมอลแล้ว
ประตูทางเข้าตัวอาคารจะมีความสูงเป็นพิเศษสร้างให้รู้สึกถึงความมินิมอลที่ยิ่งใหญ่
เข้ามาก็จะเห็นมุมของสระว่ายน้ำที่ออกแบบมาเพื่อให้เป็นไฮไลต์ของรีสอร์ต ซึ่งทำออกมาได้ดีเลยทีเดียว
เข้ามาจะเจอสระว่ายน้ำเลย
ห้องพักที่นี่มีทั้งหมด 32 ห้องแบ่งเป็น 5 ประเภท อย่าง สแตนดาร์ด สุพีเรียร์ แกรนด์สุพีเรียร์ ห้องแฟมิลี่
ตัวอาคารห้องพักเป็นแบบ low-rise เพื่อไม่ให้บังวิวภูเขาที่เป็นเหมือนฉากหลังของโรงแรม ทุกอาคารให้ความรู้สึกอบอุ่นด้วยโทนภายนอกสีขาวที่เข้ากันได้ดีกับงานไม้จากกรอบหน้าต่างกรุกระจกใส เสริมรายละเอียดให้น่าสนใจผ่านลวดลายบนพื้นผิวผนังด้านนอกที่ไปด้วยกันได้ดีกับลายบานประตูทางเข้าห้องพัก
มากันที่ห้องพักของเรา เราได้เป็นห้องข้างๆสระว่ายน้ำเลย
เข้ามาก็เจอสระว่ายน้ำเลย สวยมาก
สไตล์ความโค้ง
สวยสุดและเราชอบสุดต้องยกให้ Pool Villa ที่มีพื้นที่ใช้สอยภายในห้องค่อนข้างกว้าง แม้ตกแต่งในโทนอบอุ่นสบายตา แต่ก็ยังรู้สึกถึงความสดใสผ่านโทนสีของโซฟาและของประดับ ได้ฟีลมินิมอลผสมผสานความโมเดิร์นแบบญี่ปุ่น และเมื่อเปิดม่านออกจะได้ดื่มด่ำไปกับวิวสวนสีเขียวซึ่งถือเป็นอีกไฮไลท์ของคาร่า คาร่าเลยทีเดียว
มุมกระจก บอกเลยว่าแสงดีมาก
มุมอ่างล้างหน้าและมินิบาร์
ที่นี่ครีมอาบน้ำ ยาสระผม และครีมทาตัวใช้เป็นผลิตภัณฑ์ของ Panpuri ด้วยเป็นกลิ่นส้มๆ
ขึ้นมาชั้นบนจะเป็นเตียงนอน
ห้องพักตกแต่งได้เก๋มาก งานอินทีเรียร์เรียบง่าย แต่มีดีเทล
แค่การวางของบนโต๊ะยังมินิมอล
ดื่มด่ำกับความสุขแบบสโลว์ไลฟ์ พักรีสอร์ทระดับลักซ์ชู ที่ “เขาใหญ่”
ใครชอบความสงบที่ส่วนตัวมารวมกันตรงนี้! วันนี้บอสจะพาไปพักผ่อนหย่อนใจที่ ”เขาใหญ่” กับรีสอร์ทที่รายล้อมไปด้วยภูเขาและธรรมชาติ มีเสียงนกร้องเจื้อยแจ้วให้ฟังตั้งแต่เช้า ห้องพักก็สวย มีสระว่ายน้ำส่วนตัว พักแค่คืนเดียวแต่รู้สึกอิ่มอกอิ่มใจและสบายใจมากๆ
กับ Boribot Pool Resort Khaoyai อยู่ใจกลางของเขาใหญ่ เป็นที่พักที่เงียบสงบอยู่ท่ามกลางภูเขา อีกหนึ่งที่พักที่น่าสนใจ สำหรับใครที่กำลังมองหาที่พักเขาใหญ่ที่มีสระว่ายน้ำส่วนตัว บรรยากาศดี ๆ วิวสวยๆ ห้องพักก็กว้างขวาง แถมยังมีความเป็นส่วนตัว ด้วยความที่รีสอร์ทรายล้อมไปด้วยภูเขาและธรรมชาติ มีเสียงนกร้อง ให้ความรู้สึกการมาพักผ่อนแบบธรรมชาติบำบัดจริงๆ เหมาะสำหรับคนที่ชอบธรรมชาติ ชอบที่สงบๆ ใช้ชีวิตแบบสโลว์ไลฟ์
คะแนนสำหรับที่นี่
ราคา 9.5/10
บรรยากาศ 10/10 (ให้ความเป็นส่วนตัวมากๆ)
การบริการ 9.5/10
บรรยากาศหน้าล็อบบี้ พอจอดรถเสร็จ พนักงาน จะขับรถกอล์ฟขับมารับเราและกระเป๋า เพื่อพามาเช็คอิน
มาสูดอากาศธรรมชาติกัน
ไปเข้าห้องพักกัน แค่ภายนอกดูเหมือนจะเล็กแต่พอเข้าไปแล้วร้องว้าวเลย มีรั้วรอบขอบชิด เป็นส่วนตัวดีมาก
เข้ามาในห้องจะเห็นเป็นสระว่ายน้ำก่อนเลย เราพักเป็นห้อง Pool villa
ทางซ้ายมือจะเป็นชิงช้า อันนี้นั่งรับลม สบายมาก
สระว่ายน้ำแบบใกล้ๆ ใหญ่มาก
หันไปทางขวามือของเรา ก็จะเป็นห้องพักแล้ว
อีกที่นั่งไว้จิบชา ดูวิว ฟังเสียงธรรมชาติ
ภายในห้องของเรา กว้างมากจริงๆ ห้องนี้ผู้ออกแบบอยากให้ผู้เข้าพัก มีความรู้สึกแบบ slow life อารมณ์ชิลๆ ตกแต่งห้อง เน้นโทนสีขาว ผนังเป็นคลื่นๆ
เตียงที่นี่นอนสบายมากจริง ๆ โดยเฉพาะหมอน ใหญ่และดีมีอยู่จริง ไม่ปวดคอเลย
นับตั้งแต่ปี 1992 ที่วิลล์ สมิธได้รับบทบาทใน ภาพยนตร์ Where the Day Takes You นับถึงวันนี้ก็เป็นเวลา 30 ปีพอดีที่เขาเดินบนเส้นทางสายฮอลลีวูด หากจะเรียงรายชื่อหนังที่น่าจดจำของเขา คงจะมีลิสต์ยาวเป็นหางว่าว เรียกได้ว่าในทุกทศวรรษที่เขาเดินบนทางสายนี้ ตั้งแต่ 1990s, 2000s, 2010s จนมาถึงปัจจุบัน ต้องมีลิสต์หนังของเขาเป็น ‘แลนด์มาร์ก’ ที่ถูกหยิบยกมาพูดถึงไม่มากก็น้อย จนมาถึงภาพยนตร์เรื่องล่าสุดของเขาอย่าง King Richard (2021) ก็ได้เข้าชิง ‘ออสการ์’ สาขาภาพยนตร์และนักแสดงนำยอดเยี่ยมในปลายปี 2021
วิลล์ได้ออกหนังสืออัตชีวประวัติตัวเองในชื่อ Will ซึ่งเนื้อหาในหนังสือบอกเล่าถึงเรื่องราวของเขาตั้งแต่วัยเด็กจนถึงวัยทำงานการแสดงที่น่าสนใจมาก ๆ แต่มีเรื่องราวหนึ่งที่ส่งผลกระทบต่อเขาจนถึงทุกวันนี้ คือเหตุการณ์ที่พ่อของวิลล์ใช้ให้เขาก่ออิฐ ตอนนั้นวิลล์อายุ 11 ปี กำแพงหน้าร้านของพ่อมันเก่ามาก พ่อเลยคิดโปรเจกต์ให้เขากับน้องชายช่วยกันสร้างกำแพงขึ้นมาใหม่พ่อทุบกำแพงนั้นทิ้ง แล้วใช้ให้เด็กสองคนช่วยกันผสมปูนก่ออิฐเพื่อสร้างกำแพงขึ้นมา
ในสายตาของเด็กน้อย นี่คืองานใหญ่มาก เป็นงานที่จินตนาการไม่ออกว่าจะแล้วเสร็จได้อย่างไร
พวกเขาใช้เวลาเกือบปีหลังเลิกเรียนในการผสมปูน เรียงอิฐวันแล้ววันเล่า จนวิลล์อดเปรียบเปรยแบบสิ้นหวังไม่ได้ว่า เขาและน้องคงจะแก่ตายขณะที่สร้างกำแพงไม่แล้วเสร็จนี่แหละ “ไม่ว่าจะฝนตก จะร้อน จะบ้าคลั่ง จะเศร้า จะไม่สบาย หรือจะเตรียมสอบในวันถัดไป ฤดูกาลเปลี่ยน เพื่อนจะมาหรือไป ครูจะเกษียณไปหรือเปล่า กำแพงนั้นก็ยังคงอยู่” นั่นคือความรู้สึกของวิลล์ในขณะที่สร้างกำแพงทุกวัน ทำไมเราต้องสร้างกำแพง? ยังไงก็เป็นไปไม่ได้ มันไม่มีทางเสร็จ สองพี่น้องเริ่มออกอารมณ์จากกิจกรรมที่ทำให้ชีวิตเขาวนเวียนอยู่ตรงนี้
ในตอนนั้น พ่อของเขาจึงเดินออกจากร้านมาบอกเด็กทั้งสองว่า“หยุดคิดเรื่องกำแพงห่านอะไร! มันไม่มีกำแพง มันมีแต่อิฐ งานของพวกเอ็งคือก่อเรียงอิฐให้สมบูรณ์ วางอิฐก้อนต่อก้อนให้สมบูรณ์ไปเรื่อย ๆ อย่ากังวลว่าไม่มีกำแพง คิดแต่เรื่องอิฐก็พอ” นี่คือคำพูดที่กระทบใจของวิลล์มาก ๆ จนถึงทุกวันนี้ถ้าโฟกัสที่กำแพง จะทำให้รู้สึกว่างานนี้เป็นไปไม่ได้ ไม่จบไม่สิ้น แต่ถ้าโฟกัสที่อิฐเพียงก้อนเดียว ทุกอย่างจะดูง่าย
ก่ออิฐไปเรื่อย ๆ จนในที่สุดจะมองเห็นกำแพงเอง วิลล์เปรียบเปรยการก่ออิฐสร้างกำแพงมันแทบจะอยู่ในทุกส่วนของชีวิต เตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัย พยายามที่จะเป็นหนึ่งในศิลปินฮิปฮอปแถวหน้าของโลก ประสบความสำเร็จในประวัติศาสตร์ฮอลลีวูด สิ่งที่เกิดขึ้นหากมันดูเป็นเป้าหมายที่ใหญ่มากจนดูยากนั้นสามารถทำให้ง่ายขึ้นได้หากเรามองว่ามันคืองานที่สามารถจัดการได้ เปรียบเหมือนกำแพงที่ก่อด้วยอิฐ
“เกิดอะไรแย่ ๆ ทำได้เพียงแค่ตื่นขึ้นมาแล้วเรียงอิฐไปเรื่อย ๆ” วิลล์เล่าว่า ความลับในความสำเร็จของเขาเป็นอะไรที่ธรรมดามาก หนังเปิดตัวแย่ ก็แค่มานั่งเรียงอิฐ ยอดขายเพลงตก ก็แค่มานั่งเรียงอิฐ แม้แต่ชีวิตแต่งงานล้มเหลว ชีวิตก็ต้องตื่นขึ้นมาเพื่อมาเรียงอิฐต่อไปเช่นกันมากกว่า 30 ปีที่ในชีวิตการทำงาน ผ่านมาจนถึงวันนี้ เขาเองก็เคยเจอทั้งความล้มเหลว ความพ่ายแพ้ ความอัปยศ การหย่าร้างและความตาย
ชีวิตของเขาเคยถูกคุกคาม เงินสูญหาย ชีวิตส่วนตัวถูกรุกล้ำ ไปจนถึงครอบครัวมีปัญหา สิ่งที่ทำได้ในแต่ละวัน เพียงตื่นมาผสมปูน แล้วเรียงอิฐ ไม่ว่าชีวิตจะขยับไปทางไหน ก็ยังมีอิฐก้อนอื่น ๆ ที่วางต่อหน้าที่รอให้เราเรียงมันขึ้นไป คำถามสำหรับเขามีเพียงอย่างเดียวคือ คุณได้ตื่นขึ้นมาแล้วเรียงอิฐหรือยัง? สำหรับเขาแล้วกระบวนการเติบโตเริ่มต้นจากจุดเล็ก ๆ มันคือการก่ออิฐเพื่อให้เห็นภาพใหญ่ของชีวิตที่เป็นเหมือนกำแพง
พยายามให้ลูกน้องเคลียร์กันไปแล้วจะได้ไปทำงานต่อ มันแค่ทำให้เรารู้สึกสบายใจเท่านั้น เเต่ว่าพวกลูกน้องก็ไม่ได้ดีกันจริง ๆ หรอก แล้วจะทำยังไงดี ?
1. เราต้องไม่พยายามทำให้ลูกน้องดีกันเกินความจำเป็น เพราะลึกๆ ตามหลักจิตวิทยา การพยายามทำแบบนี้เหมือนเป็นความต้องจากฝ่ายเราอย่างเดียวไม่ใช่ความต้องการของเขาสองคนที่ทะเลาะกัน ดังนั้นก็เท่ากับเราไปบังคับและเป็นเหมือนบุคคลที่ 3 แทนที่เราซึ่งเป็นหัวหน้าจะรู้ใจลูกน้องและจะเป็นกาวใจ กลับกันมันเลยไม่ใช่เลยและมันจะทำให้สถานการณ์แย่ลงกว่าเดิม ตราบใดที่ลูกน้องยังทำงานได้โดยไม่กระทบต่อผลประกอบการบริษัทหรือสภาพจิตใจพนักงานคนอื่น ก็พยายามรักษาสถานะไว้แค่ตรงนั้นก็พอ
2. อย่าให้สองคนมาปะทะกันโดยตรง อย่าพลาดไปเป็นผู้จัดการในชีวิตคนอื่น อย่าพยายามทำให้ทั้งสองหรือกลุ่มคนที่ทะเลาะกันมาเจอกัน ซึ่งนั่นคือการสร้างสถานการณ์ความอึดอัด และจะส่งผลให้เรื่องที่ทะเลาะกันก่อนหน้าปูไปสู่อีกสถานการณ์ที่อาจจะแย่ยิ่งขึ้นไปอีก “แม้ว่าจะมีเจตนาที่ดีก็ตาม แต่ลูกน้องก็จะรู้สึกว่าเรานั้นไว้ใจไม่ได้เหมือนกัน” เจตนาที่ดีนั้นก็ต้องสอดคล้องกับวิธีการที่เหมาะสมด้วย ดังนั้นสถานการณ์นี้ไม่ควรทำ
3.อย่าพยายามอธิบายความดีของอีกฝ่ายให้อีกฝ่ายฟัง เราในฐานะหัวหน้าอยากจะให้แต่ละฝ่ายมองเห็นข้อดีซึ่งกันและกัน แต่การพยายามอธิบายข้อดีของอีกฝ่ายให้อีกฝ่ายหนึ่งฟัง คือการยัดเยียดความดีของฝ่ายหนึ่งให้อีกฝ่ายซึ่งกำลังโกรธกันอยู่ยอมรับ ตามหลักจิตวิทยาแล้วเวลาที่คนโกรธกันไม่ใช่ช่วงเวลาที่เขาจะไปยอมรับข้อดีอีกฝ่ายหนึ่งได้ ข้อดีที่มีลูกน้องเขารู้อยู่เเล้วการบอกข้อดีของอีกฝ่ายในเวลาแบบนี้ไม่ก่อประโยชน์อะไรที่จะทำให้พวกเขาทั้งสองคนดีกัน ดังนั้นสิ่งที่ควรทำคือแค่โฟกัสที่งานและ EQ ในที่ทำงานก็พอ
Rolex เริ่มต้นขึ้นโดย นาย ฮันส์ วิลส์ดอร์ฟ (Hans Wilsdorf) เขาเกิดเมื่อวันที่ 22 มีนาคม ค.ศ. 1881 เมืองคูล์มบาค ประเทศเยอรมนี ในวัยเด็กเขาค้นพบตัวเองว่าเขาสนุกกับการที่ได้เรียนภาษาและชื่นชอบในวิชาคำนวณเป็นอย่างมาก เมื่อเรียนจบ เขาเริ่มต้นอาชีพด้วยการเป็นเด็กฝึกงานในบริษัทส่งออกอัญมณี โดยมีโอกาสได้ติดต่อกับผู้ผลิตและผู้ซื้อ ซึ่งเป็นพื้นฐานในการประกอบธุรกิจของเขา
จนกระทั่งเขาได้มาที่เมือง La Chaux De Fonds ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ที่นี่เขาได้ทำงานเป็นเสมียนในบริษัทส่งออกนาฬิกาแห่งหนึ่งและได้ตั้งข้อสงสัยว่า ทำไมนาฬิกาของสวิสเซอร์แลนด์ถึงได้มีมูลค่ามากกว่าประเทศอื่น เขาจึงได้เริ่มศึกษาอุตสาหกรรมนาฬิกาจากนั้นเป็นต้นมา
ในสมัยนั้นนาฬิกามีขนาดใหญ่และมีน้ำหนักเยอะ ไม่ค่อยสะดวกในการใช้งาน จึงต้องพกไว้ที่กระเป๋ากางเกงหรือทำเป็นสร้อยห้อยคอเท่านั้น ส่วนนาฬิกาข้อมือในยุคนั้นยังไม่มีความทนทาน ไม่กันฝุ่น ไม่กันน้ำ และแม้แต่เข็มนาฬิกายังไม่ตรงอีกด้วย
เมื่อเขาอายุได้ 24 ปี ในปี ค.ศ. 1908 ก็ได้ตั้งบริษัทเกี่ยวกับการผลิตนาฬิกา Wilsdorf and Davis ขึ้นที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ โดยมีน้องเขยของเขาเป็นหุ้นส่วน ระยะแรก เขาให้บริษัท Aegler ในสวิสเซอร์แลนด์ แต่ไม่นานก็ได้ยุติแล้วหันมาคิดค้นตัวเรือนเองแล้วก็เปลี่ยนชื่อบริษัทมาเป็น Rolex เพื่อให้ง่ายต่อการจดจำและมุ่งเน้นการผลิตนาฬิกาแบบครบวงจรอย่างเต็มรูปแบบ
จากสิ่งสำคัญอันดับแรกที่ Rolex เน้นย้ำคือ “เวลาที่เที่ยงตรง” ในปี ค.ศ. 1910 Rolex ได้ส่งนาฬิกาไปยัง School of Horology ซึ่ง Rolex เป็นนาฬิกาเรือนแรกของโลกที่ได้รับรองความเที่ยงตรงจาก Official Watch Rating Centre ที่เมืองเบียนน์ ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ภายใต้การรับรองจากสถาบัน C.O.S.C (Controle Officiel Suisse Des Chronometer)
จากในกลุ่ม แอพพลิเคชั่น ไลน์ ชื่อ วิทยุมดดำนาวี ทรภ.1 (ทัพเรือภาคที่ 1) แจ้งข่าว ได้มีข้อความขอความช่วยเหลือ จาก สมาชิกในกลุ่มท่านหนึ่ง ว่า " สวัสดีครับขอความช่วยเหลือด้วย พอดีเรือประมงพื้นบ้าน ชื่อ นำชัยรุ่งเรือง ได้เกิดเหตุเครื่องยนต์เสีย ตอนนี้ลอยลำอยู่ 12° 34 N 100° 52 E เรือวิ่งออกมาจากท่าเรือ ต.สัตหีบครับ ขอความช่วยเหลือด้วยนะครับ " T.0823197747 เบอร์ไต๋เรือครับ
ศูนย์ปฏิบัติการ ทัพเรือภาคที่ 1 อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี ได้เห็นข้อความดังกล่าว และได้ ประสาน กองเรือปฏิบัติการทัพเรือภาคที่ 1 ส่ง เรือหลวงแสมสาร เข้าให้ความช่วยเหลือ อย่างเร่งด่วน
ทัพเรือภาคที่ 1 นับเป็นหน่วยรบที่มีสรรพกำลังทางเรือ ทางบก และทางอากาศ รับผิดชอบดูแลความมั่นคงรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล เขตทะเลอ่าวไทยตอนบน ถือว่ามีพื้นที่รับผิดชอบอย่างกว้างขวา
หลังรับแจ้ง เรือหลวงแสมสาร ได้ออกเรือทันที เพื่อให้ความช่วยเหลือ เรือประมงพื้นบ้าน ชื่อ นำชัยรุ่งเรือง ดังกล่าวและ ได้นำมาส่งในพื้นที่อย่างปลอดภัย ณ บริเวณอ่าวแสมสาร ตำบลแสมสาร อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรีเพื่อรอเรือในเครือข่ายนำกลับเข้าท่าเรือ ต่อไป
กองทัพเรือโดย ทัพเรือภาคที่ 1 ได้จัดเตรียมความพร้อมของเรือใน กองเรือปฏิบัติการทัพเรือภาคที่ 1 ตลอด 24 ชม. เพื่อน้อมนำตามนโยบาย ผู้บัญชาการทหารเรือ ที่จะช่วยเหลือ พี่ น้อง ประชาชน ในทุกภารกิจ ด้วยกำลังและทรัพยากรที่มีอยู่ อย่างเต็มกำลังความสามารถ
เกษตรกร จ.พิจิตร ดูแล “แตงโม” เป็นอย่างดี ต่อให้ราคาลงต่ำก็ไม่ทิ้งไปไหน!!!
ส.ส.ภูดิท อินสุวรรณ์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฏรจังหวัดพิจิตร เขต 2 พร้อมทีมงานได้ลงพื้นที่ต.วังทรายพูน อ.วังทรายพูน จ.พิจิตร
โดยมีกำนันสมหมาย สนามทอง กำนันตำบลวังทรายพูน กำนันพเยาว์ จำลอง กำนันตำบลหนองปล้อง พร้อมผู้นำท้องที่ร่วมกันนำลงพื้นที่แปลงปลูกแตงโมของนายสุทรี น้อมระวี ผู้ใหญ่บ้าน หมู่ 12 บ้านหนองยางใต้ ต.วังทรายพูน
ซึ่งประสบปัญหาราคาแตงโมตกต่ำ เหลือเพียงกิโลกรัมละ 3-5 บาท แต่ต้นทุนสูงขึ้นเรื่อยๆ ทั้งราคาปุ๋ย ค่ายาฆ่าแมลง รวมถึงค่าน้ำมัน ทำให้ประสบภาวะขาดทุน จึงร้องขอให้หน่วยงานภาคราชการหันมาดูแลเกษตรกรผู้ปลูกแตงโมด้วย
ขณะที่นายภูดิท อินสุวรรณ์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดพิจิตร พรรคพลังประชารัฐ กล่าวว่า หลังจากได้รับการร้องทุกข์ปัญหาความเดือดร้อนจากเกษตรกรผู้ปลูกแตงโมในพื้นที่อำเภอวังทรายพูน จึงได้ลงพื้นที่รับฟังปัญหาจากเกษตรกร
โดยพบว่าราคาผลผลิตแตงโมขณะนี้ตกต่ำเป็นอย่างมาก เหลือเพียงกิโลกรัมละ 3-5 บาท อีกทั้งค่าปุ๋ย ค่ายาปราบศัตรูพืช ปรับราคาเพิ่มขึ้นจากเดิมหลายเท่าตัว ทำให้เกษตรกรไม่คุ้มต้นทุนการผลิต
ซึ่งจะได้รับเอาปัญหาดังกล่าวนำเสนอไปยังสภาผู้แทนราษฎร รวมทั้งกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรฯ ช่วยกันผลักดันแก้ปัญหาให้เกษตรกรผู้ปลูกแตงโมในพื้นที่จังหวัดพิจิตรและพื้นที่อื่นๆ โดยเร็ว
บลูเทค ซิตี้ ร่วมสนับสนุนรถวีลแชร์ให้แก่คนพิการในจังหวัดฉะเชิงเทรา
บลูเทค ซิตี้ เป็นนิคมอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง ตั้งอยู่ในตำบลเขาดิน อำเภอบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทราซึ่งเป็นพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) บนพื้นที่ประมาณ 1,181 ไร่ มูลค่าการลงทุนโครงการ 4,856 ล้านบาท
เป้าหมายของบลูเทค ซิตี้ คือรองรับอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง อาทิ อุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ (Next-Generation Automotive) อุตสาหกรรมอุปกรณ์กักเก็บพลังงานไฟฟ้าประจุสูง รวมถึงกิจการอื่นที่เกี่ยวข้อง และกลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้รับการส่งเสริมตามโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก คาดว่าเมื่อเปิดดำเนินการแล้วจะก่อให้เกิดมูลค่าการลงทุนประมาณ 33,200 ล้านบาท เกิดการจ้างงานเพิ่มขึ้นประมาณ 8,300 คน
โรงแรมซันธารา เวลเนส รีสอร์ตจังหวัดฉะเชิงเทรา นายไมตรี ไตรติลานันท์ ผู้ว่าราชการจังหวัดฉะเชิงเทราพร้อมด้วยนายณัฐพงษ์ สงวนจิตร รองผู้ว่าราชการจังหวัดฉะเชิงเทรา เป็นประธานในพิธีมอบรถวีลแชร์ จำนวน100 คัน (มูลค่า 214,000 บาท) ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากนายจีรทัศน์ แจ่มไพบูลย์ ประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัดฉะเชิงเทรา คณะกรรมการบริหารอุตสาหกรรมจังหวัดฉะเชิงเทรา และผู้ประกอบการเอกชน
เพื่อนำไปส่งมอบให้กับคนพิการ โดยพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดฉะเชิงเทรา และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จะนำไปมอบให้แก่คนพิการในพื้นที่ ทั้งนี้ เพื่อเป็นการขับเคลื่อนกิจกรรมความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมขององค์กรเอกชน (Corporate Social Responsibility : CSR ) ในการช่วยเหลือคนพิการให้ได้รับความสะดวกในการใช้ชีวิตประจำวันโดยการใช้รถวีลแชร์ และเป็นขวัญกำลังใจให้กับคนพิการในจังหวัดฉะเชิงเทรา ต่อไป
วีลแชร์ หรือรถเข็นนั่ง เป็นอุปกรณ์ที่ช่วยให้ผู้พิการหรือผู้ป่วยที่มีปัญหาในการเคลื่อนไหวร่างกายพึ่งพาตัวเองได้มากขึ้น ทั้งยังอำนวยความสะดวกและลดข้อจำกัดในการทำสิ่งต่าง ๆ การเลือกวีลแชร์ที่ตอบโจทย์ความต้องการได้อย่างเหมาะสมจึงไม่เพียงแต่จะช่วยให้ไปไหนมาไหนสะดวก แต่ยังส่งเสริมคุณภาพชีวิตโดยเปิดโอกาสสู่โลกการศึกษา การทำงาน และการเข้าสังคมให้ราบรื่นยิ่งขึ้นอีกด้วย
ประเภทผู้ป่วยที่ใช้ได้
สิ่งที่คุณจะรู้ได้ว่าชอบจริงๆ คือ การที่คุณเริ่มลงมือทำมันดู “สัก” ครั้ง!!!
คุณอันวา เรียนอยู่ปี 4 ที่สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง คณะสถาปัตย์ สาขาจิตรกรรม อายุ 21 ปี เปิดร้าน Tattoo ponyy studio จุดเริ่มต้นคือตัวเราเองเรียนเกี่ยวกับด้านศิลปะมา เป็นทุนเดิมอยู่แล้วเลยมีความคิดขึ้นมาว่าอยากเอามา Adopt ใช้ในงานสักเพราะว่าเราไม่เคยสักมาก่อน
1.) เราอยู่ในช่วงที่เรียนตอนนี้ใกล้จะจบแล้ว เราเริ่มมานั้งคิดแล้วว่าจบไปเราจะทำงานอะไรหรือจะเอางานศิลปะที่เรียนมาไปทำอะไรดี แต่มันก็มีหลายแบบในการที่เราเอาไปใช้ได้แต่อย่างเดียวที่เราไม่เคยลองเลยก็คือก็สัก เลยคิดไว้ว่าจะเปิดร้านสัก
2.) พอเรามาลองใช้จริงๆ เรารู้สึกว่ามันโอเคเพราะว่ามันเป็นรูปแบบใหม่ในงานสักก็เหมือนศิลปะอย่างหนึ่งบนร่างกายคนเหมือนกันและทำให้เรารู้สึกแปลกใหม่ดีด้วย ในงานสักของเรา เราต้องเอางานที่เป็นรูปแบบของเราเองไปอยู่บนร่างกายคน มันเป็นแรงผลักดันให้เรารู้สึกอย่างลองทำสิ่งนี้ดู ลองเปิดร้านลองทำงานจริงๆดีกว่าเราไม่ได้เริ่มทำอะไรเลย
3.) ไม่ใช่ว่าเราไม่เคยลองทำอย่างอื่นมาก่อน เราลองมาหมดแล้ว เช่น เพ้นท์กำแพง ออกแบบหรือ รีโนเวย์สเครื่องประดับตกแต่งบ้าน แต่เหลือแค่สิ่งนี้แหละการสักที่เรายังไม่เคยลอง ทำให้เราคิดว่าเราควรลองสักครั้งหนึ่งในชีวิต ในตอนที่เราเริ่มเปิดร้านสักอย่างแรกที่เราต้องเจอกับปัญหาปัจจัยหลักๆ เลยก็คือเรื่องของเงินทุน
4.) เรื่องนี้เป็นอะไรที่หนักหน่วงมากสำหรับเรา เราใช้เงินทุนเปิดร้านไป 10,000 บาท ในการซื้อของและอุปกรณ์สักและเปิดร้านที่คอนโดห้องเราเอง หลังจากเรามีของที่เตรียมทำงานสักได้
เริ่มมีการชักชวนเพื่อนๆ หรือคนรู้จักมาสักกับเราก่อนพอลองดูแล้วเราก็ทำได้ไม่ใช่ทำไม่ได้ หลังจากเราฝึกมือจนชำนาญแล้ว เลยตัดสินใจเปิดร้านอย่างจริงจังและขยับขยายร้านไปที่ใต้คอนโดเป็นร้านสักของเราเอง
5.) ไม่มีลูกจ้างเราเป็นช่างสักกับแฟนเราสองคนเพราะแฟนเราก็เรียนทางด้านศิลปะมาเหมือนกัน ส่วนเรื่องงานสักที่ลูกค้ามาสักแล้วแต่ลูกค้าจะอยากได้ลายแบบไหนถูกใจอันไหนสามารถเอามาให้เราสักได้
6.) ถ้าพูดถึงส่วนตัวเราเองจะชอบดูพวกการ์ตูนอนิเมะต่างๆแล้วทำมาเป็นลายสักมากกว่าพูดง่ายๆ ส่วนใหญ่จะสักลายพวกการ์ตูนอะไรประมาณนี้พร้อมกับลายน่ารักๆแฟนเราจะเป็นคนสักลายสีๆ เอง
7.) งานที่เสริมนอกจากร้านสักเราก็จะมีงานรับเพ้นท์กำแพงด้วย ตอนนี้เราก็เริ่มที่จะค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไปเรื่อยๆ ให้ทุกอย่างลงตัว เพราะต่อให้เราจบมาก็ยังมีร้านของเราที่เป็นเจ้าของของตัวเองทำอยู่
8.) ราคางานสักเริ่มต้นที่ 500 บาท จริงๆ แล้วขึ้นอยู่กับความยากง่ายของงานด้วยถ้างานยากก็จะตกลงราคากัน ปัญหาที่เจออีกอย่างก็คือลูกค้าไม่รักษาแผลหลังสักเสร็จบางทีสีมันก็จะหลุดและไม่สวย แต่ว่าก่อนที่เราจะสักให้ทุกครั้งเราจะอธิบายเสมอ ถึงวิธีการดูแลหลังสักเสร็จเพราะร้านของเราทำสะอาดอยู่แล้ว
9.) ปัญหาเรื่องรายละเอียดมันเล็กยากทำให้เราปวดหัวบ้างเวียนหัวบ้างแต่เราก็ทำออกมาได้ดี ไม่มีลูกไม่พอใจในผลงานเรา พอทำเสร็จเราจะรู้สึกภูมิใจในผลงานเราและคิดว่าศิลปะบนร่างกายคนมันสุดยอดเหมือนกัน เริ่มจากเห็นเพื่อนหลายคนสักเยอะไม่ได้คิดว่าจะชอบหรืออะไรแค่อยากลองดูสักครั้งไหนๆ ก็ไหนๆ
10.) ลูกค้าส่วนใหญ่ของเราในตอนแรกๆก็จะเป็นเพื่อน หลังมาเริ่มมีลูกค้าคนอื่นอารมณ์เหมือนร้านเราเป็น Random เปิดแถวนี้ลูกค้าเค้าก็ลองเสริชหาดูในไอจี พอเค้าเจอร้านเราเค้าก็เข้ามาดูงานเราพอเค้าสนใจก็นัดคิวมาสัก
อีกอย่างที่ลูกค้าติดเราก็คือ เราจะบอกลูกค้าตลอดว่าเราสักช้านะ แต่รับลองว่างานออกมาดีแน่นอน พองานเราออกมาสวยดูดีลูกคนเดิมก็จะมาสักกับเราเรื่อยๆ เวลาเราสักเราสักอย่างจริงจังไม่ได้ทำงานออกมาแค่ขอให้เสร็จแต่เราจะทำให้งานออกมาเนี๊ยบที่สุด
11.) เราคิดว่ามันอยู่บนร่างกายคนไปตลอดมันก็ต้องเป็นงานที่ดีที่สุด เราจะใส่ใจเต็มที่ทุกจุดด้วย ลูกค้าต้องเป็นคนที่อายุ 20 อัพขึ้นไปเท่านั้น ต่อให้เป็นงานยากที่เราอาจจะทำไม่ได้แต่เราก็จะฝึกฝนตัวเองให้มาขึ้นเพื่อที่จะผ่านไปให้ได้ แต่ถ้าเป็นงานยากจริงเราก็จะไม่รับเพราะเราไม่อยากให้ลูกค้าได้งานไปแบบไม่โอเคเราก็จะบอกเค้าไปตรงๆ ว่ามือเรายังไม่ถึงเพราะในทางธุรกิจร้านเรายังถือว่าเป็นมือใหม่อยู่
แต่เราก็ไม่เคยทำงานให้ลูกค้าแย่เลยสักครั้ง ถามว่ายากไหมในการสักแน่นอนว่าถ้าไม่มีพื้นฐานยากแน่นอนแต่อย่างเรายังโชคดีที่เรียนทางด้านศิลปะมา 6 ปี เราก็สามารถนำมาประยุกต์ใช้มันก็จะง่ายสำหรับเรา แค่ฝึกไม่กี่เดือนเราก็สามารถทำได้แล้ว
หากใครสนใจอยากจะเข้าไปส่องร้านดูฝีมือช่างสักกันหน่อยสามารถเข้าไปดูได้ที่ Ig : Ponyy_studio
ร้านสักอยู่ที่ vcondo ลาดกระบังตึก A1
ใครๆ ก็เป็น 'อินฟู' ได้!!! มุ่งมั่น ไปยัง 'จุดสูงสุด' เป็นไปได้
จากตัวการขายของในโลกออนไลน์ เริ่มมีมาเรื่อยๆ ขายอะไรก็ดีไปหมดแบบนี้ เราไม่เคยเห็นมาก่อน การศึกษาและอิทธิพลของการขายของในโลกออนไลน์ในการสร้างแบรนด์ หลังๆ เลยก็คือในตอนนี้อิทธิพลส่วนบุคคลที่เกิดขึ้นกับมนุษย์เรา
1.) Influencer เป็นศัพท์ที่เกิดขึ้นมากับโลกของสื่อโซเชียลในโลกออนไลน์ เฉพาะตรงๆ ทันทีที่เรามีโซเชียลเน็ตเวิร์ก ไม่ว่าจะเป็น Facebook Instagram Twitter หรือทุกอย่างที่เป็นโซเชียลมีเดีย มันก็จะเกิดคำว่า Influencer ขึ้นมาหรือผู้ทรงอิทธิพลในโลกออนไลน์ทันที หมายถึงบุคคลที่สามารถส่งอิทธิพลไปถึงผู้อื่น เริ่มตั้งแต่หลักสิบไปจนถึงหลักล้าน
2.) ก่อนหน้าที่เราจะมีโลกออนไลน์ จริงๆ แล้วเราจะมีคำศัพท์อีกคำที่ใช้เรียกบุคคลเหล่านี้ เราจะใช้คำว่าผู้นำทางด้านความคิด หรือ opinion leader ในทางวิชาการจริงๆ แล้ว มันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่สมัยช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ตั้งแต่ที่เรามีวิทยุมีโทรทัศน์ใช้ มีนักวิชาการคนนึงที่อเมริกา เค้าสนใจศึกษาว่าการที่มนุษย์หรือคนเราเนี่ย ไปโหวตเลือกหรือลงคะแนนเสียงให้ใครสักคนเนี่ย มันมีปัจจัยอะไรที่ทำให้เขาอยากจะโหวตเลือกคนคนนั้น
3.) มีการศึกษาและทำวิจัยรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้ สุดท้ายก็ได้มีการวิเคราะห์ออกมาว่าจริงๆ แล้วผู้นำทางความคิดเนี่ยคือ บุคคลที่สามที่สามารถจะชักจูง ให้คนจำนวนหนึ่งคล้อยตามและมีพฤติกรรมหรือความคิดความเชื่อคล้อยตามไปกับบุคคลผู้นั้นได้ ก็เลยเกิดความคิดอย่างนึงขึ้นมาว่า เวลาเราสื่อสารออกไปโดยใช้สื่อ มีอำนาจมีอิทธิพลไหม
เรามองว่าก็มีในแง่ของการเข้าถึงและเผยแพร่ข้อมูลออกไป แต่ว่าการที่คนจะมีความเชื่อและปฏิบัติตามในสิ่งที่ข้อมูลข่าวสารเหล่านั้น จริงๆ แล้วก็คือผู้นำทางความคิด ต่อให้เป็นหลักสิบหลัก พันก็แล้วแต่ ในกลุ่มคนพวกนี้จะมีความเชื่อ เลือกฟังคนที่เค้านับถือ
4.) สรุปก็คือมนุษย์เราจะมีความเชื่อในสิ่งที่เค้านับถือหรือสิ่งที่เค้าชื่นชอบ การขายของออนไลน์ก็เช่นกัน เค้าจะอยากซื้อในสิ่งที่เค้าอยากหรือชื่นชอบเท่านั้น ต่อให้เราเปิดรับข่าวสารต่างๆ ออกมา สุดท้ายเราก็ต้องกลับมาดูความเชื่อที่เรานับถือและมีอิทธิพลต่อตัวเราอยู่ดี โยงตรงนี้มาให้เห็นเพราะว่าก่อนที่เราจะมีโลกออนไลน์มันก็ทฤษฎีตรงนี้มาให้เห็นเหมือนกัน
5.) เพียงแต่ว่าในยุคอดีตเราก็จะเอาไปใช้กับการฟังวิทยุการดูโทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ ดูข่าวสาร จะเชื่อไหมจะทำตามหรือไม่ สรุปได้ว่าต้องมีผู้นำทางความคิดอีกชั้นหนึ่งก่อน ถึงจะนำไปสู่การตกลงที่จะเชื่อ ทีนี้พอเราเริ่มมีโลกออนไลน์ ก็มีศัพท์ที่ใกล้เคียงกันเหมือนกัน influencer เป็นคำใกล้เคียงกันกับยุคก่อนที่ใช้เรียกคนส่งมีอิทธิพลต่อบุคคลอื่น หรือ opinion leader เราเอาคำนี้มาใช้ให้เจาะจงกับการทำงานในภาคธุรกิจในปัจจุบันที่มีอิทธิพลต่อโลกออนไลน์
6.) คำว่า Influencer จะมีความน่าเชื่อถือก็ได้ไม่มีก็ได้เพราะว่าบางครั้งเวลาเราอยากจะเข้าไปในสื่อโลกออนไลน์ บางครั้งเราไม่ต้องการเข้าไปหาสาระความรู้ เราอาจจะเข้าไปเพื่อความบันเทิง ฉะนั้น Influencer เป็นได้ตั้งแต่คนที่เราหลงไหลคลั่งใคร่ ส่วน KOL ก็คือให้ความรู้ ชักจุงวิธีคิด
7.) ตอนนี้ที่จะเห็นได้ชัดที่สุดคือ อย่างคุณพิมรี่พายที่เค้าสามารถขายของออนไลน์ได้สร้างแบรนด์เกิดจากคำที่ใช้เรียกว่า Influencer และ KOL ด้วยเหมือนกันมีครบทุกอย่าง เค้าสามารถที่จะสร้างแบรนด์ได้เป็นเฉพาะบุคคล กลุ่มคนที่ติดตามเขาและความไว้เนื้อเชื่อใจว่าถ้าเป็นในเรื่องของการค้าการขายเค้าสนใจที่จะซื้อ เป็นการยกตัวอย่างมาให้เห็นในเรื่องของ Influencer ในโลกออนไลน์เป็นอย่างไร สิ่งที่เค้าทำมาให้ ระยะเวลาระดับหนึ่งก็คือ เค้ามีการสร้างในเรื่องของความเชื่อถือขึ้นมาเรื่อยๆ เกิดจากการค่อยๆ สร้างความไว้เนื้อเชื่อใจให้กับกลุ่มคน
8.) สำหรับการสร้างแบรนด์เป็นของตัวเอง เป็นเรื่องปกติที่เราจะไม่แน่ใจหรือไม่รู้ว่าเราควรจะทำและเริ่มจากตรงไหน อาจจะมีการถามคนรอบตัวกว่าแบบนี้โอเคไหม Influencer ทำหน้าที่ตรงนั้นเหมือนกันก็คือ เป็นทั้งผู้รีวิวและเป็นทั้งผู้ที่ยืนยันหมายความว่า เป็น testimonial อย่างนึงคือการที่รับประกัน
ซึ่งตรงนี้มันทำให้เราอุ่นใจแล้วว่าเราคงไม่เสี่ยงนี้คือความสำคัญของ influencer เพราะในการตัดสินใจส่วนนึงเราไม่มั่นใจเราสามารถที่จะไปดูกลุ่มคนที่เป็น influencer ช่วยในการตัดสินใจได้ นี้คือผลประโยชน์ของการมีกลุ่มคน influencer ในยุคนี้มากๆ ใครๆ ก็สามารถที่จะเป็น influencer ได้ ขอแค่มีความมุ่งมานะ จับทางให้ถูก ของแบบนี้ไม่ใช่แค่วันสองวันที่จะทำได้ เรียกว่าเป็นเดือนเป็นปีด้วยซ้ำไป ต้องคนที่มีความตั้งใจจริงๆ และดูว่าตัวเราเหมาะกับอะไร ถ้าเราหามันเจอ หลังจากนั้นคือการค่อยๆ สร้างขึ้นมา ช่องทางไหนแบบไหนที่เราทำได้
9.) สิ่งที่ influencer ทำคือการ created content นั้นเองค่อยๆ เล่าว่าที่เราทำคืออะไรค่อยๆ ทำไปเรื่อยๆ ทุกคนเริ่มต้นจากศูนย์ทั้งนั้น influencer มีการจำแนกตั้งแต่ระดับเล็ก nano คือผู้ติดตามในระดับหลักพันหลักหมื่นขึ้นไปหรือแม้แต่ร้อยปลายๆ ก็มี ในทางการตลาดไม่ใช่ไม่สำคัญเพราะอาจจะเห็นว่าเป็นกลุ่มคนน้อย มองกลับกันแต่ในกลุ่มคนน้อยนี้เค้าเชื่อถือ nano influencer คนนี้สุดใจ เค้าก็จะทุ่มให้เราสุดตัวเหมือนกัน ระดับนี้จึงสำคัญ เราก็จะไตร่ระดับไปเรื่อยเรื่อยเป็นขั้นๆ ไปจนเป็น mega influencer
ส่วนคนประเภทที่จะซื้อของหรือเชื่อใจ influencer คนนั้นๆ จะแบ่งได้เป็น 4 ประเภทคือ 1.รู้จักรับรู้ 2.คือสนใจ 3.คือปรารถนา 4.คือซื้อ ระดับในการตัดสินใจ
10.) คนที่จะเป็น influencer ได้ คือ ไม่ว่าเค้าจะมีความถนัดหรือวีธีการอะไรของเค้าก็แล้วแต่ สิ่งนึงที่ทุกคนไม่มีไม่ได้เลยก็คือ การติดตามข่าวสารและพัฒนาตนเองสม่ำเสมอ เพราะสิ่งเหล่านี้มันจะไปตอบโจทย์สิ่งที่เรียกว่ากระแส เพราะด้วยคำว่า influencer หรือ ผู้ทรงอิทธิพล เค้าเปรียบเสมือนผู้นำกระแสหรือ trendsetter เพราะงั้นเราต้องเร็วกับสิ่งที่มันกำลังเกิดขึ้น เพราะว่าในโลกออนไลน์ทุกอย่าง Real time
ที่มา: รายการ Click on Clear The Topic วันที่ 7 ธันวาคม 2564 : https://youtu.be/j7LCfZkZXYs
(1) ทาง THE BOSS TIMES ได้มีโอกาสคุยกับคุณ โป๊ย บุษรารัตน์ สาวหล่อที่พึ่งจบจากมหาวิทยาลัยใหม่ ๆ ซึ่งเป็นเจ้าของร้านกาแฟ “ใจเย็นเด้อ” ที่ตั้งอยู่บนริมฟุตบาท อ.เมืองร้อยเอ็ด จ.ร้อยเอ็ด โดยมีเรื่องราวที่น่าสนใจอย่างมาก
(2) จุดเริ่มต้นของร้านกาแฟ “ใจเย็นเด้อ COffee” มาจากการที่ คุณโป๊ยเป็นคนที่ชื่นชอบกาแฟ และไปนั่งกินกาแฟตามคาเฟ่เป็นประจำอยู่แล้ว พอวันหนึ่งรู้สึกว่าอยากจะลองทำกาแฟกินเองที่บ้าน ก็เลยซื้อเครื่องมาทำกาแฟกินเอง หลังจากนั้นก็ซื้อกาแฟมาเยอะมาก จนสุดท้ายเลยรู้สึกว่า อยากลองออกมาเปิดร้านดู ตอนนั้นคิดว่าถ้าขายไม่ได้ก็ปิด ก็แค่นั้น
(3) ย้อนกลับไปตอน คุณโป๊ยเด็ก ๆ คุณโป๊ยรู้สึกว่า ตนอยากจะเป็นเจ้าของธุรกิจมาก อยากเป็นนายตัวเอง อยากจะทำธุรกิจอะไรสักอย่าง ไม่ต้องใหญ่โตมากมายก็ได้
(4) แรงผลักดันจากอดีตประกอบกับความชอบในปัจจุบันนี้เอง ส่งผลให้คุณโป๊ยตัดสินใจกำเงิน 10,000 ซื้อของและอุปกรณ์ต่าง ๆ มาทำแบรนด์ “ใจเย็นเด้อ COffee” ขึ้นมาขายริมฟุตบาท เพราะมองว่า ก่อนหน้านี้มีกระแสร้านกาแฟริมฟุตบาท สามารถสร้างยอดขายได้แบบทะลุทะลวงเป็นกอบเป็นกำ
(5) ตอนตั้งร้านเดือนแรก ต้องเจอกับปัญหายอดขาย เพราะในหนึ่งวันขายได้เพียงแค่ 400-500 บาท คิดเป็นต่อแก้วก็ 20- 30 แก้วต่อวันเท่านั้น ถ้าตัดต้นทุนออกก็มีกำไรน้อยกว่าค่าแรงขั้นต่ำอีก ทำให้คุณโป๊ยมีความรู้สึกว่าไม่ไหวแล้ว อยากปิดร้าน อยากเลิกขายไปเลย จนมีลูกค้าขาประจำรายหนึ่งมาขอว่าอย่าเลิกขายเลย ลองขายไปเรื่อย ๆ ก่อน จึงทำให้คุณโป๊ยเลือกที่จะเปิดร้านต่อไป
(6) “ไม่มีอะไรได้มาง่ายๆ หรอก กว่าลูกค้าจะมาติด ร้านดังๆ กว่าจะประสบความสำเร็จ กว่าลูกค้าจะมาติด ก็ต้องใช้เวลาเช่นกัน เพราะฉะนั้น อย่าพึ่งเลิกขายเลย เสียดายรสชาติกาแฟร้านนี้” เสียงจากลูกค้า
(7) หลังจากนั้น คุณโป๊ยจึงเริ่มที่จะจริงจังกับการทำร้านมากขึ้น ทั้งเริ่มทำบัญชีรายรับรายจ่าย เช็คยอดคงเหลือ เช็คผลตอบรับ ทำให้ธุรกิจเห็นตัวเลขชัดเจนมากขึ้น อีกทั้งยัง เปิดเพจ ทำวิดีโอโปรโมทร้านและโปรโมทแบรนด์ จนทำให้มีลูกค้าเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งส่วนใหญ่ลูกค้าที่เพิ่มขึ้นมา จะเป็นการบอกต่อๆกันของกลุ่มลูกค้า จากที่ขายได้เพียงวันละ 20 แก้ว จนตอนนี้มียอดขายอย่างต่ำๆเลยคือ 60 แก้วต่อวัน หรือก็คือโตขึ้น 200% ใน 3 เดือน คิดเป็นรายได้คราว ๆ ก็ประมาณเกือบ 5 หมื่นบาทต่อเดือนนั้นเอง
A: ที่รัก
A: เค้ามีอะไรจะบอก
B: ว่าไงคะ??
A: เค้าไม่เคยปักหมุดแชทใครเลยนะ
A: ที่รักคนแรกเลย
A:เพราะอะไรรู้ไหม
B:เพราะ???
A: ก่อนหน้านี้ทำไม่เป็น
A : Iphone 13 ราคาเท่าไหร่รู้ไหมเธอ
B : Iphone 13 : 42,000
Ipad 24,000
Ipod 12,000
แต่ I Love you = ประเมินค่าไม่ได้
A : เอิ่ม ..
A : เพื่อนเวลาปิดประตูตู้เสื้อผ้า เพื่อนปิดดังไหม
B : ก็ไม่ดังมาก ทำไมหรอ?
A : ทีหลังปิดเบาๆ ได้ป่ะ
B : ทำไมอ่ะ
A: มี”ชุดนอน”อยู่
B : ?