สิ่งที่คุณจะรู้ได้ว่าชอบจริงๆ คือ การที่คุณเริ่มลงมือทำมันดู “สัก” ครั้ง!!!
คุณอันวา เรียนอยู่ปี 4 ที่สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง คณะสถาปัตย์ สาขาจิตรกรรม อายุ 21 ปี เปิดร้าน Tattoo ponyy studio จุดเริ่มต้นคือตัวเราเองเรียนเกี่ยวกับด้านศิลปะมา เป็นทุนเดิมอยู่แล้วเลยมีความคิดขึ้นมาว่าอยากเอามา Adopt ใช้ในงานสักเพราะว่าเราไม่เคยสักมาก่อน
1.) เราอยู่ในช่วงที่เรียนตอนนี้ใกล้จะจบแล้ว เราเริ่มมานั้งคิดแล้วว่าจบไปเราจะทำงานอะไรหรือจะเอางานศิลปะที่เรียนมาไปทำอะไรดี แต่มันก็มีหลายแบบในการที่เราเอาไปใช้ได้แต่อย่างเดียวที่เราไม่เคยลองเลยก็คือก็สัก เลยคิดไว้ว่าจะเปิดร้านสัก
2.) พอเรามาลองใช้จริงๆ เรารู้สึกว่ามันโอเคเพราะว่ามันเป็นรูปแบบใหม่ในงานสักก็เหมือนศิลปะอย่างหนึ่งบนร่างกายคนเหมือนกันและทำให้เรารู้สึกแปลกใหม่ดีด้วย ในงานสักของเรา เราต้องเอางานที่เป็นรูปแบบของเราเองไปอยู่บนร่างกายคน มันเป็นแรงผลักดันให้เรารู้สึกอย่างลองทำสิ่งนี้ดู ลองเปิดร้านลองทำงานจริงๆดีกว่าเราไม่ได้เริ่มทำอะไรเลย
3.) ไม่ใช่ว่าเราไม่เคยลองทำอย่างอื่นมาก่อน เราลองมาหมดแล้ว เช่น เพ้นท์กำแพง ออกแบบหรือ รีโนเวย์สเครื่องประดับตกแต่งบ้าน แต่เหลือแค่สิ่งนี้แหละการสักที่เรายังไม่เคยลอง ทำให้เราคิดว่าเราควรลองสักครั้งหนึ่งในชีวิต ในตอนที่เราเริ่มเปิดร้านสักอย่างแรกที่เราต้องเจอกับปัญหาปัจจัยหลักๆ เลยก็คือเรื่องของเงินทุน
4.) เรื่องนี้เป็นอะไรที่หนักหน่วงมากสำหรับเรา เราใช้เงินทุนเปิดร้านไป 10,000 บาท ในการซื้อของและอุปกรณ์สักและเปิดร้านที่คอนโดห้องเราเอง หลังจากเรามีของที่เตรียมทำงานสักได้
เริ่มมีการชักชวนเพื่อนๆ หรือคนรู้จักมาสักกับเราก่อนพอลองดูแล้วเราก็ทำได้ไม่ใช่ทำไม่ได้ หลังจากเราฝึกมือจนชำนาญแล้ว เลยตัดสินใจเปิดร้านอย่างจริงจังและขยับขยายร้านไปที่ใต้คอนโดเป็นร้านสักของเราเอง
5.) ไม่มีลูกจ้างเราเป็นช่างสักกับแฟนเราสองคนเพราะแฟนเราก็เรียนทางด้านศิลปะมาเหมือนกัน ส่วนเรื่องงานสักที่ลูกค้ามาสักแล้วแต่ลูกค้าจะอยากได้ลายแบบไหนถูกใจอันไหนสามารถเอามาให้เราสักได้
6.) ถ้าพูดถึงส่วนตัวเราเองจะชอบดูพวกการ์ตูนอนิเมะต่างๆแล้วทำมาเป็นลายสักมากกว่าพูดง่ายๆ ส่วนใหญ่จะสักลายพวกการ์ตูนอะไรประมาณนี้พร้อมกับลายน่ารักๆแฟนเราจะเป็นคนสักลายสีๆ เอง
7.) งานที่เสริมนอกจากร้านสักเราก็จะมีงานรับเพ้นท์กำแพงด้วย ตอนนี้เราก็เริ่มที่จะค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไปเรื่อยๆ ให้ทุกอย่างลงตัว เพราะต่อให้เราจบมาก็ยังมีร้านของเราที่เป็นเจ้าของของตัวเองทำอยู่
8.) ราคางานสักเริ่มต้นที่ 500 บาท จริงๆ แล้วขึ้นอยู่กับความยากง่ายของงานด้วยถ้างานยากก็จะตกลงราคากัน ปัญหาที่เจออีกอย่างก็คือลูกค้าไม่รักษาแผลหลังสักเสร็จบางทีสีมันก็จะหลุดและไม่สวย แต่ว่าก่อนที่เราจะสักให้ทุกครั้งเราจะอธิบายเสมอ ถึงวิธีการดูแลหลังสักเสร็จเพราะร้านของเราทำสะอาดอยู่แล้ว
9.) ปัญหาเรื่องรายละเอียดมันเล็กยากทำให้เราปวดหัวบ้างเวียนหัวบ้างแต่เราก็ทำออกมาได้ดี ไม่มีลูกไม่พอใจในผลงานเรา พอทำเสร็จเราจะรู้สึกภูมิใจในผลงานเราและคิดว่าศิลปะบนร่างกายคนมันสุดยอดเหมือนกัน เริ่มจากเห็นเพื่อนหลายคนสักเยอะไม่ได้คิดว่าจะชอบหรืออะไรแค่อยากลองดูสักครั้งไหนๆ ก็ไหนๆ
10.) ลูกค้าส่วนใหญ่ของเราในตอนแรกๆก็จะเป็นเพื่อน หลังมาเริ่มมีลูกค้าคนอื่นอารมณ์เหมือนร้านเราเป็น Random เปิดแถวนี้ลูกค้าเค้าก็ลองเสริชหาดูในไอจี พอเค้าเจอร้านเราเค้าก็เข้ามาดูงานเราพอเค้าสนใจก็นัดคิวมาสัก
อีกอย่างที่ลูกค้าติดเราก็คือ เราจะบอกลูกค้าตลอดว่าเราสักช้านะ แต่รับลองว่างานออกมาดีแน่นอน พองานเราออกมาสวยดูดีลูกคนเดิมก็จะมาสักกับเราเรื่อยๆ เวลาเราสักเราสักอย่างจริงจังไม่ได้ทำงานออกมาแค่ขอให้เสร็จแต่เราจะทำให้งานออกมาเนี๊ยบที่สุด
11.) เราคิดว่ามันอยู่บนร่างกายคนไปตลอดมันก็ต้องเป็นงานที่ดีที่สุด เราจะใส่ใจเต็มที่ทุกจุดด้วย ลูกค้าต้องเป็นคนที่อายุ 20 อัพขึ้นไปเท่านั้น ต่อให้เป็นงานยากที่เราอาจจะทำไม่ได้แต่เราก็จะฝึกฝนตัวเองให้มาขึ้นเพื่อที่จะผ่านไปให้ได้ แต่ถ้าเป็นงานยากจริงเราก็จะไม่รับเพราะเราไม่อยากให้ลูกค้าได้งานไปแบบไม่โอเคเราก็จะบอกเค้าไปตรงๆ ว่ามือเรายังไม่ถึงเพราะในทางธุรกิจร้านเรายังถือว่าเป็นมือใหม่อยู่
แต่เราก็ไม่เคยทำงานให้ลูกค้าแย่เลยสักครั้ง ถามว่ายากไหมในการสักแน่นอนว่าถ้าไม่มีพื้นฐานยากแน่นอนแต่อย่างเรายังโชคดีที่เรียนทางด้านศิลปะมา 6 ปี เราก็สามารถนำมาประยุกต์ใช้มันก็จะง่ายสำหรับเรา แค่ฝึกไม่กี่เดือนเราก็สามารถทำได้แล้ว
หากใครสนใจอยากจะเข้าไปส่องร้านดูฝีมือช่างสักกันหน่อยสามารถเข้าไปดูได้ที่ Ig : Ponyy_studio
ร้านสักอยู่ที่ vcondo ลาดกระบังตึก A1
ใครๆ ก็เป็น 'อินฟู' ได้!!! มุ่งมั่น ไปยัง 'จุดสูงสุด' เป็นไปได้
จากตัวการขายของในโลกออนไลน์ เริ่มมีมาเรื่อยๆ ขายอะไรก็ดีไปหมดแบบนี้ เราไม่เคยเห็นมาก่อน การศึกษาและอิทธิพลของการขายของในโลกออนไลน์ในการสร้างแบรนด์ หลังๆ เลยก็คือในตอนนี้อิทธิพลส่วนบุคคลที่เกิดขึ้นกับมนุษย์เรา
1.) Influencer เป็นศัพท์ที่เกิดขึ้นมากับโลกของสื่อโซเชียลในโลกออนไลน์ เฉพาะตรงๆ ทันทีที่เรามีโซเชียลเน็ตเวิร์ก ไม่ว่าจะเป็น Facebook Instagram Twitter หรือทุกอย่างที่เป็นโซเชียลมีเดีย มันก็จะเกิดคำว่า Influencer ขึ้นมาหรือผู้ทรงอิทธิพลในโลกออนไลน์ทันที หมายถึงบุคคลที่สามารถส่งอิทธิพลไปถึงผู้อื่น เริ่มตั้งแต่หลักสิบไปจนถึงหลักล้าน
2.) ก่อนหน้าที่เราจะมีโลกออนไลน์ จริงๆ แล้วเราจะมีคำศัพท์อีกคำที่ใช้เรียกบุคคลเหล่านี้ เราจะใช้คำว่าผู้นำทางด้านความคิด หรือ opinion leader ในทางวิชาการจริงๆ แล้ว มันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่สมัยช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ตั้งแต่ที่เรามีวิทยุมีโทรทัศน์ใช้ มีนักวิชาการคนนึงที่อเมริกา เค้าสนใจศึกษาว่าการที่มนุษย์หรือคนเราเนี่ย ไปโหวตเลือกหรือลงคะแนนเสียงให้ใครสักคนเนี่ย มันมีปัจจัยอะไรที่ทำให้เขาอยากจะโหวตเลือกคนคนนั้น
3.) มีการศึกษาและทำวิจัยรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้ สุดท้ายก็ได้มีการวิเคราะห์ออกมาว่าจริงๆ แล้วผู้นำทางความคิดเนี่ยคือ บุคคลที่สามที่สามารถจะชักจูง ให้คนจำนวนหนึ่งคล้อยตามและมีพฤติกรรมหรือความคิดความเชื่อคล้อยตามไปกับบุคคลผู้นั้นได้ ก็เลยเกิดความคิดอย่างนึงขึ้นมาว่า เวลาเราสื่อสารออกไปโดยใช้สื่อ มีอำนาจมีอิทธิพลไหม
เรามองว่าก็มีในแง่ของการเข้าถึงและเผยแพร่ข้อมูลออกไป แต่ว่าการที่คนจะมีความเชื่อและปฏิบัติตามในสิ่งที่ข้อมูลข่าวสารเหล่านั้น จริงๆ แล้วก็คือผู้นำทางความคิด ต่อให้เป็นหลักสิบหลัก พันก็แล้วแต่ ในกลุ่มคนพวกนี้จะมีความเชื่อ เลือกฟังคนที่เค้านับถือ
4.) สรุปก็คือมนุษย์เราจะมีความเชื่อในสิ่งที่เค้านับถือหรือสิ่งที่เค้าชื่นชอบ การขายของออนไลน์ก็เช่นกัน เค้าจะอยากซื้อในสิ่งที่เค้าอยากหรือชื่นชอบเท่านั้น ต่อให้เราเปิดรับข่าวสารต่างๆ ออกมา สุดท้ายเราก็ต้องกลับมาดูความเชื่อที่เรานับถือและมีอิทธิพลต่อตัวเราอยู่ดี โยงตรงนี้มาให้เห็นเพราะว่าก่อนที่เราจะมีโลกออนไลน์มันก็ทฤษฎีตรงนี้มาให้เห็นเหมือนกัน
5.) เพียงแต่ว่าในยุคอดีตเราก็จะเอาไปใช้กับการฟังวิทยุการดูโทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ ดูข่าวสาร จะเชื่อไหมจะทำตามหรือไม่ สรุปได้ว่าต้องมีผู้นำทางความคิดอีกชั้นหนึ่งก่อน ถึงจะนำไปสู่การตกลงที่จะเชื่อ ทีนี้พอเราเริ่มมีโลกออนไลน์ ก็มีศัพท์ที่ใกล้เคียงกันเหมือนกัน influencer เป็นคำใกล้เคียงกันกับยุคก่อนที่ใช้เรียกคนส่งมีอิทธิพลต่อบุคคลอื่น หรือ opinion leader เราเอาคำนี้มาใช้ให้เจาะจงกับการทำงานในภาคธุรกิจในปัจจุบันที่มีอิทธิพลต่อโลกออนไลน์
6.) คำว่า Influencer จะมีความน่าเชื่อถือก็ได้ไม่มีก็ได้เพราะว่าบางครั้งเวลาเราอยากจะเข้าไปในสื่อโลกออนไลน์ บางครั้งเราไม่ต้องการเข้าไปหาสาระความรู้ เราอาจจะเข้าไปเพื่อความบันเทิง ฉะนั้น Influencer เป็นได้ตั้งแต่คนที่เราหลงไหลคลั่งใคร่ ส่วน KOL ก็คือให้ความรู้ ชักจุงวิธีคิด
7.) ตอนนี้ที่จะเห็นได้ชัดที่สุดคือ อย่างคุณพิมรี่พายที่เค้าสามารถขายของออนไลน์ได้สร้างแบรนด์เกิดจากคำที่ใช้เรียกว่า Influencer และ KOL ด้วยเหมือนกันมีครบทุกอย่าง เค้าสามารถที่จะสร้างแบรนด์ได้เป็นเฉพาะบุคคล กลุ่มคนที่ติดตามเขาและความไว้เนื้อเชื่อใจว่าถ้าเป็นในเรื่องของการค้าการขายเค้าสนใจที่จะซื้อ เป็นการยกตัวอย่างมาให้เห็นในเรื่องของ Influencer ในโลกออนไลน์เป็นอย่างไร สิ่งที่เค้าทำมาให้ ระยะเวลาระดับหนึ่งก็คือ เค้ามีการสร้างในเรื่องของความเชื่อถือขึ้นมาเรื่อยๆ เกิดจากการค่อยๆ สร้างความไว้เนื้อเชื่อใจให้กับกลุ่มคน
8.) สำหรับการสร้างแบรนด์เป็นของตัวเอง เป็นเรื่องปกติที่เราจะไม่แน่ใจหรือไม่รู้ว่าเราควรจะทำและเริ่มจากตรงไหน อาจจะมีการถามคนรอบตัวกว่าแบบนี้โอเคไหม Influencer ทำหน้าที่ตรงนั้นเหมือนกันก็คือ เป็นทั้งผู้รีวิวและเป็นทั้งผู้ที่ยืนยันหมายความว่า เป็น testimonial อย่างนึงคือการที่รับประกัน
ซึ่งตรงนี้มันทำให้เราอุ่นใจแล้วว่าเราคงไม่เสี่ยงนี้คือความสำคัญของ influencer เพราะในการตัดสินใจส่วนนึงเราไม่มั่นใจเราสามารถที่จะไปดูกลุ่มคนที่เป็น influencer ช่วยในการตัดสินใจได้ นี้คือผลประโยชน์ของการมีกลุ่มคน influencer ในยุคนี้มากๆ ใครๆ ก็สามารถที่จะเป็น influencer ได้ ขอแค่มีความมุ่งมานะ จับทางให้ถูก ของแบบนี้ไม่ใช่แค่วันสองวันที่จะทำได้ เรียกว่าเป็นเดือนเป็นปีด้วยซ้ำไป ต้องคนที่มีความตั้งใจจริงๆ และดูว่าตัวเราเหมาะกับอะไร ถ้าเราหามันเจอ หลังจากนั้นคือการค่อยๆ สร้างขึ้นมา ช่องทางไหนแบบไหนที่เราทำได้
9.) สิ่งที่ influencer ทำคือการ created content นั้นเองค่อยๆ เล่าว่าที่เราทำคืออะไรค่อยๆ ทำไปเรื่อยๆ ทุกคนเริ่มต้นจากศูนย์ทั้งนั้น influencer มีการจำแนกตั้งแต่ระดับเล็ก nano คือผู้ติดตามในระดับหลักพันหลักหมื่นขึ้นไปหรือแม้แต่ร้อยปลายๆ ก็มี ในทางการตลาดไม่ใช่ไม่สำคัญเพราะอาจจะเห็นว่าเป็นกลุ่มคนน้อย มองกลับกันแต่ในกลุ่มคนน้อยนี้เค้าเชื่อถือ nano influencer คนนี้สุดใจ เค้าก็จะทุ่มให้เราสุดตัวเหมือนกัน ระดับนี้จึงสำคัญ เราก็จะไตร่ระดับไปเรื่อยเรื่อยเป็นขั้นๆ ไปจนเป็น mega influencer
ส่วนคนประเภทที่จะซื้อของหรือเชื่อใจ influencer คนนั้นๆ จะแบ่งได้เป็น 4 ประเภทคือ 1.รู้จักรับรู้ 2.คือสนใจ 3.คือปรารถนา 4.คือซื้อ ระดับในการตัดสินใจ
10.) คนที่จะเป็น influencer ได้ คือ ไม่ว่าเค้าจะมีความถนัดหรือวีธีการอะไรของเค้าก็แล้วแต่ สิ่งนึงที่ทุกคนไม่มีไม่ได้เลยก็คือ การติดตามข่าวสารและพัฒนาตนเองสม่ำเสมอ เพราะสิ่งเหล่านี้มันจะไปตอบโจทย์สิ่งที่เรียกว่ากระแส เพราะด้วยคำว่า influencer หรือ ผู้ทรงอิทธิพล เค้าเปรียบเสมือนผู้นำกระแสหรือ trendsetter เพราะงั้นเราต้องเร็วกับสิ่งที่มันกำลังเกิดขึ้น เพราะว่าในโลกออนไลน์ทุกอย่าง Real time
ที่มา: รายการ Click on Clear The Topic วันที่ 7 ธันวาคม 2564 : https://youtu.be/j7LCfZkZXYs
(1) ทาง THE BOSS TIMES ได้มีโอกาสคุยกับคุณ โป๊ย บุษรารัตน์ สาวหล่อที่พึ่งจบจากมหาวิทยาลัยใหม่ ๆ ซึ่งเป็นเจ้าของร้านกาแฟ “ใจเย็นเด้อ” ที่ตั้งอยู่บนริมฟุตบาท อ.เมืองร้อยเอ็ด จ.ร้อยเอ็ด โดยมีเรื่องราวที่น่าสนใจอย่างมาก
(2) จุดเริ่มต้นของร้านกาแฟ “ใจเย็นเด้อ COffee” มาจากการที่ คุณโป๊ยเป็นคนที่ชื่นชอบกาแฟ และไปนั่งกินกาแฟตามคาเฟ่เป็นประจำอยู่แล้ว พอวันหนึ่งรู้สึกว่าอยากจะลองทำกาแฟกินเองที่บ้าน ก็เลยซื้อเครื่องมาทำกาแฟกินเอง หลังจากนั้นก็ซื้อกาแฟมาเยอะมาก จนสุดท้ายเลยรู้สึกว่า อยากลองออกมาเปิดร้านดู ตอนนั้นคิดว่าถ้าขายไม่ได้ก็ปิด ก็แค่นั้น
(3) ย้อนกลับไปตอน คุณโป๊ยเด็ก ๆ คุณโป๊ยรู้สึกว่า ตนอยากจะเป็นเจ้าของธุรกิจมาก อยากเป็นนายตัวเอง อยากจะทำธุรกิจอะไรสักอย่าง ไม่ต้องใหญ่โตมากมายก็ได้
(4) แรงผลักดันจากอดีตประกอบกับความชอบในปัจจุบันนี้เอง ส่งผลให้คุณโป๊ยตัดสินใจกำเงิน 10,000 ซื้อของและอุปกรณ์ต่าง ๆ มาทำแบรนด์ “ใจเย็นเด้อ COffee” ขึ้นมาขายริมฟุตบาท เพราะมองว่า ก่อนหน้านี้มีกระแสร้านกาแฟริมฟุตบาท สามารถสร้างยอดขายได้แบบทะลุทะลวงเป็นกอบเป็นกำ
(5) ตอนตั้งร้านเดือนแรก ต้องเจอกับปัญหายอดขาย เพราะในหนึ่งวันขายได้เพียงแค่ 400-500 บาท คิดเป็นต่อแก้วก็ 20- 30 แก้วต่อวันเท่านั้น ถ้าตัดต้นทุนออกก็มีกำไรน้อยกว่าค่าแรงขั้นต่ำอีก ทำให้คุณโป๊ยมีความรู้สึกว่าไม่ไหวแล้ว อยากปิดร้าน อยากเลิกขายไปเลย จนมีลูกค้าขาประจำรายหนึ่งมาขอว่าอย่าเลิกขายเลย ลองขายไปเรื่อย ๆ ก่อน จึงทำให้คุณโป๊ยเลือกที่จะเปิดร้านต่อไป
(6) “ไม่มีอะไรได้มาง่ายๆ หรอก กว่าลูกค้าจะมาติด ร้านดังๆ กว่าจะประสบความสำเร็จ กว่าลูกค้าจะมาติด ก็ต้องใช้เวลาเช่นกัน เพราะฉะนั้น อย่าพึ่งเลิกขายเลย เสียดายรสชาติกาแฟร้านนี้” เสียงจากลูกค้า
(7) หลังจากนั้น คุณโป๊ยจึงเริ่มที่จะจริงจังกับการทำร้านมากขึ้น ทั้งเริ่มทำบัญชีรายรับรายจ่าย เช็คยอดคงเหลือ เช็คผลตอบรับ ทำให้ธุรกิจเห็นตัวเลขชัดเจนมากขึ้น อีกทั้งยัง เปิดเพจ ทำวิดีโอโปรโมทร้านและโปรโมทแบรนด์ จนทำให้มีลูกค้าเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งส่วนใหญ่ลูกค้าที่เพิ่มขึ้นมา จะเป็นการบอกต่อๆกันของกลุ่มลูกค้า จากที่ขายได้เพียงวันละ 20 แก้ว จนตอนนี้มียอดขายอย่างต่ำๆเลยคือ 60 แก้วต่อวัน หรือก็คือโตขึ้น 200% ใน 3 เดือน คิดเป็นรายได้คราว ๆ ก็ประมาณเกือบ 5 หมื่นบาทต่อเดือนนั้นเอง