Monday, 4 December 2023
THE STUDY TIMES

"ม.วลัยลักษณ์" ได้รับการจัดอันดับโลกครั้งแรก จาก World University Rankings โดย Times Higher Education

เมื่อเร็วๆนี้ Times Higher Education ได้ประกาศผลการจัดอันดับมหาวิทยาลัยโลก World University Rankings 2023 ผ่านเว็บไซต์ https://www.timeshighereducation.com ผลปรากฏว่า มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ ได้รับการจัดอันดับโลกแล้ว โดยจัดให้อยู่ในอันดับที่ 1501+ ของโลก จากมหาวิทยาลัยทั้งหมด 26,000 แห่งทั่วโลก และเป็นอันดับที่ 11 ของประเทศไทย จากมหาวิทยาลัย 18 แห่งที่ผ่านเงื่อนไขและได้รับการจัดอันดับในปีนี้
.
โดยก่อนหน้านี้มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์เคยได้รับการจัดอันดับจาก THE Impact Ranking ปี 2021 อยู่ในอันดับที่ 600-800 ของโลก อันดับที่ 15 ของไทย ได้รับการจัดอันดับจาก QS Asia University Rankings อันดับที่ 19 ของไทย และได้รับการจัดอันดับจาก SCImago อยู่ในอันดับที่ 422 ของโลก อันดับที่ 9 ของไทย
.
ศาสตราจารย์ ดร.สมบัติ ธำรงธัญวงศ์  รักษาการแทนอธิการบดีม.วลัยลักษณ์ เปิดเผยว่า หลังจากที่ม.วลัยลักษณ์ได้เข้าไปอยู่ในกลุ่มมหาวิทยาลัยวิจัยแนวหน้าของโลก(Frontier Research University) ตามนโยบายของกระทรวงอว. ม.วลัยลักษณ์ได้พัฒนาผลงานวิจัยให้มีคุณภาพ คณาจารย์ทุกคนได้ร่วมกันขับเคลื่อนการวิจัยอย่างเข้มข้น ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมามีจำนวนผลงานวิจัยมากขึ้นแบบก้าวกระโดด โดยปีล่าสุดมีมากกว่า 700 บทความ
.
ที่สำคัญผลงานวิจัยตีพิมพ์ในวารสารนานาชาติ Scopus Q1,Q2 กว่า 82% อยู่ในอันดับ 3 ของประเทศ สะท้อนให้เห็นถึงคุณภาพของอาจารย์ผู้สอน และนักวิจัยของมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ ซึ่งเชื่อว่าในอนาคตผลงานวิจัยของเราจะมีจำนวนมากขึ้น มีคุณภาพสูงขึ้น การอ้างอิงก็จะมีจำนวนสูงขึ้นตามไปด้วย
.
“ม.วลัยลักษณ์ได้รับการจัดอันดับโลก World University Rankings จาก Times Higher Education เป็นครั้งแรก ถือเป็นความสำเร็จและความภาคภูมิใจร่วมกันพวกเราชาววลัยลักษณ์ ที่ได้ร่วมกันทำงานกันอย่างหนัก มุ่งมั่นตั้งใจจนประสบผลสำเร็จมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์เป็นที่รู้จักและยอมรับในระดับสากล อย่างไรก็ตามเรายังคงมุ่งมั่นเพื่อก้าวต่อไป วันนี้มหาวิทยาลัยได้รับการจัดอันดับโลกแล้ว หากผลงานวิจัยของเรามีจำนวนมากขึ้นเชื่อมั่นว่าอันดับโลกจะขยับดีขึ้นต่อไป”ศาสตราจารย์ ดร.สมบัติ กล่าว


ที่มา https://www.komchadluek.net/news/education/533906 
 

'สภาวะล่องลอย' อีกหนึ่งภัยเงียบจาก 'การติดมือถือ' ของคน GENZ

ทุกวันนี้หลายคนคงคุ้นเคยกับ 'โนโมโฟเบีย' (No mobile phone phobia) หรือโรคกลัวการขาดโทรศัพท์มือถือ ที่สะท้อนผ่านความกระวนกระวาย เครียด หงุดหงิด มีอาการคลื่นไส้และเหงื่อออกตามร่างกาย อาการของเเต่ละคนที่เป็นโรคขึ้นอยู่กับระดับการติดโทรศัพท์มือถือของเเต่ละบุคคลว่าจะแสดงอาการออกมามากน้อยแตกต่างกัน
.
แต่อาการที่ว่านั้น ดูเล็กไปเลย เมื่อเทียบกับสภาวะใหม่ของคนติดมือถือยุคนี้ที่กำลังเผชิญอยู่แบบไม่รู้ตัว โดยเรื่องนี้ ผศ.ดร.วรัชญ์ ครุจิต รองคณบดีฝ่ายวางแผนและพัฒนา คณะนิเทศศาสตร์และนวัตกรรมการจัดการ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า...
.
ไม่นานมานี้ การวิจัยที่อิตาลีได้ค้นพบว่า อาการ 'ติดมือถือ' ก่อให้เกิดสภาวะที่เรียกว่า Flow Experience หรือ อาการล่องลอยหมกมุ่นอยู่กับการทำอะไรบางอย่างจนลืมเวลา ซึ่งเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดพฤติกรรมการซื้อสินค้าออนไลน์แบบยับยั้งตัวเองไม่ได้ 
.
โดยการทดลองนี้ทำกับกลุ่ม Gen Z แต่ก็น่าเชื่อได้ว่าคนเจนอื่นก็อาจจะมีผลคล้าย ๆ กัน แต่ผู้ใหญ่ที่มีงานและภารกิจอื่น หรือมีวุฒิภาวะและความยับยั้งชั่งใจมากกว่า อาจมีโอกาสน้อยลงกว่า Gen Z
.
ผู้วิจัยสรุปว่า คนที่ใช้มือถือในทางไม่สร้างสรรค์ จะใช้มือถือเพื่อควบคุมความรู้สึกทางลบของตัวเอง (เช่น ความเบื่อ หรือหาความสนุกเพลิดเพลิน ตื่นเต้น) เพื่อนำไปสู่สภาวะล่องลอย และเชื่อมต่อไปยังพฤติกรรมช็อปแหลกแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว (และนักการตลาดสมัยนี้ก็สรรหาสิ่งจูงใจมาล่อหลอกตลอดเวลาเสียด้วย) 
.
ส่วนตัวเชื่อว่า ถ้ามาวิจัยกับคนไทย น่าจะได้ผลที่สูงยิ่งกว่าอิตาลี (เพราะคนไทยใช้มือถือและช็อปออนไลน์เป็นอันดับต้น ๆ ของโลก)


ที่มา https://thestatestimes.com/post/2022102607 
 

"เหลืองปิยะรัตน์" พืชชนิดใหม่ของโลก ค้นพบโดยนักวิจัย มช.

นักวิจัย "มหาวิทยาลัยเชียงใหม่" ค้นพบพืชชนิดใหม่ของโลก “เหลืองปิยะรัตน” ที่ จ.นราธิวาส พืชหายากในวงศ์กระดังงา ดอกสวยงามและมีกลิ่นหอม แต่หายากและเสี่ยงสูญพันธุ์ วางแผนวิจัยต่อด้านเภสัชเวทและเภสัชวิทยาเพื่อเป็นพืชสมุนไพรรักษาโรค
.
หลังจากค้นพบพืชชนิดใหม่ของโลกในสกุลมหาพรหม ซึ่งได้รับพระราชทานนาม “พรหมจุฬาภรณ์” เมื่อปี 2562 ล่าสุด นักวิจัยสังกัดภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ นำโดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ธนวัฒน์ เชาวสกู และนักศึกษาระดับปริญญาเอก ได้แก่ นางสาวฉัตรธิดา วิยา (สาขาวิชาชีววิทยา) และนางสาวอานิสรา ดำทองดี (สาขาวิชาความหลากหลายทางชีวภาพและชีววิทยาชาติพันธุ์) พร้อมทั้งนายนายกิติศักดิ์ อ๋องย่อง และนายอับดุลรอแม บากา นักวิจัยอิสระ
.
ได้ร่วมกันศึกษาตัวอย่างพืชจากอำเภอจะแนะ และอำเภอสุคิริน จังหวัดนราธิวาส โดยบูรณาการข้อมูลสัณฐานวิทยาและวิวัฒนาการชาติพันธุ์เชิงโมเลกุลเข้าด้วยกัน พบว่า เป็น พืชชนิดใหม่ของโลก ในวงศ์กระดังงา (Annonaceae) จำนวน 1 ชนิด คือ เหลืองปิยะรัตน์
.
เหลืองปิยะรัตน์ มีชื่อวิทยาศาสตรว่า Phaeanthuspiyae Wiya, Aongyong & Chaowasku โดยตั้งชื่อเป็นเกียรติแก่ ดร.ปิยะ เฉลิมกลิ่น นักวิจัยอาวุโสผู้ริเริ่มการศึกษาพืชวงศ์กระดังงาในประเทศไทย และได้รับการตีพิมพ์ในวารสารวิชาการระดับนานาชาติ Taiwania ปีที่ 66 ฉบับที่ 4 หน้าที่ 509-516 พ.ศ. 2564
.
โดยงานวิจัยนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการวิจัยอนุกรมวิธานและวิวัฒนาการชาติพันธุ์ของพรรณไม้วงศ์กระดังงาในประเทศไทยที่หายากและยังไม่เป็นที่รู้จัก เพื่อการอนุรักษ์และการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน ภายใต้การสนับสนุนจาก สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.)
.
เหลืองปิยะรัตน์ มีลักษณะเด่น คือ เป็นไม้ต้นขนาดเล็ก สูงประมาณ 3 เมตร มีก้านดอกยาว กลีบดอกชั้นนอกมีขนาดเล็กคล้ายกลีบเลี้ยง กลีบดอกชั้นในเมื่อเจริญเต็มที่จะมีสีเหลืองเข้ม ที่โคนกลีบมีสีม่วงอมน้ำตาล ดอกมีกลิ่นหอม ผลเป็นผลกลุ่ม ผลย่อยมีเมล็ดเดียว เมื่อสุกสีแดงสด
.
จากการสำรวจพบเหลืองปิยะรัตน์เพียงไม่กี่ต้นในหย่อมป่าดิบชื้นที่ถูกรบกวน ซึ่งรายล้อมไปด้วยสวนยางและสวนผลไม้ สุ่มเสี่ยงที่จะถูกแผ้วถางจนสูญพันธุ์ จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องช่วยกันอนุรักษ์ไว้ ก่อนที่จะไม่เหลือให้ชนรุ่นหลังได้ชื่นชมและศึกษา
.
นอกจากเหลืองปิยะรัตน์แล้ว ในประเทศไทยยังพบพืชสกุล Phaeanthus อีก 1 ชนิด คือ หัวลิง ซึ่งมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Phaeanthus Iucidus Oliv. โดยพบที่จังหวัดนราธิวาสและยะลา
.
“เหลืองปิยะรัตน์มีศักยภาพในการพัฒนาเป็นไม้ดอกไม้ประดับได้ เนื่องจากมีดอกที่สวยงามและมีกลิ่นหอม นอกจากนี้พบว่าผู้คนในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ใช้พืชสกุล Phaeanthus ชนิดอื่น ๆ เป็นพืชสมุนไพรรักษาโรคตา ดังนั้นอาจพัฒนาเหลืองปิยะรัตน์เป็นพืชสมุนไพรได้เช่นเดียวกัน ซึ่งจะต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมทางด้านเภสัชเวทและเภสัชวิทยาต่อไป” ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ธนวัฒน์ กล่าวทิ้งท้าย


ที่มา https://www.bangkokbiznews.com/health/education/1033980 
 

ไปวิจัยที่ “จีน” ดีกว่า เมื่อทุน “ญี่ปุ่น” ช้าเหลือเกิน

ญี่ปุ่นใช้เงินทุนที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่า ‘ไม่ส่งเสริม’ ให้นักวิจัยหนุ่มสาวอยากทำงานในประเทศ
.
หนังสือพิมพ์ ‘อาซาฮี ชิมบุน’ ของญี่ปุ่น เผยแพร่รายงานล่าสุดที่ระบุว่า นักวิชาการวัยหนุ่มสาวชาวญี่ปุ่นกำลังเลือกย้ายมาทำการวิจัยที่มหาวิทยาลัยของจีน เพื่อโอกาสทางอาชีพที่ก้าวหน้ากว่า
.
หนังสือพิมพ์ยกกรณี นายโมโตยูกิ ฮัตโตริ นักวิชาการหนุ่ม เลือกเดินทางออกจากญี่ปุ่นเมื่อ 7 ปีก่อน เพื่อรับตำแหน่งศาสตราจารย์ที่มหาวิทยาลัยฟู่ตั้น นครเซี่ยงไฮ้ ตะวันออกของจีน
.
ฮัตโตริ ปัจจุบันอายุ 40 ปี เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านโครงสร้างและหน้าที่ของตัวลำเลียงสารผ่านเข้าออกเซลล์ ให้สัมภาษณ์ว่า ตอนเรียนจบจากมหาวิทยาลัยเมื่อ 7 ปีก่อน เขาต้องการตั้งห้องปฏิบัติการของตัวเองให้เร็วที่สุด แต่กระบวนการนี้ในญี่ปุ่นใช้เวลาอย่างน้อย 10 ปี เขาจึงตัดสินใจย้ายมาจีน
.
สาเหตุข้อหนึ่งคือ ญี่ปุ่นใช้ระบบเงินทุนที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่า ไม่ส่งเสริมให้นักวิจัยหนุ่มสาวอยากทำงานในประเทศ ขณะที่ภูมิทัศน์ทางวิชาการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วในจีน ทำให้นักวิชาการหนุ่มสาวญี่ปุ่นคิดตัดสินใจมาจีนได้เร็วขึ้น
.
ฮัตโตริบอกว่า สิ่งสำคัญสำหรับความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์คือการมีนักวิชาการจำนวนมากในหลากหลายด้าน รัฐบาลจีนสนับสนุนมหาวิทยาลัยเพิ่มขึ้น เพื่อยกระดับมาตรฐานทางวิชาการ เรื่องนี้ก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ที่นี่ (จีน) มีประสิทธิภาพกว่า
.
ภาพและข้อมูล จาก...Xinhua | Young Japanese scholars are moving to China for better opportunities: Asahi Shimbun | https://english.news.cn/.../e3c43d0cb8364fc3b33b3a.../c.html 


ที่มา https://www.facebook.com/ChinaReportAseanThailand/posts/533252322142900 
 

สิ่งมีชีวิตแรกบนดาวอังคาร อาจทำให้ตัวเองต้องสูญพันธุ์

แม้นักวิทยาศาสตร์จะยังค้นหาร่องรอยของสิ่งมีชีวิตบนดาวอังคารไม่พบ แต่ข้อมูลใหม่ ๆ จากการสำรวจทำให้พวกเขาเชื่อมั่นเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ว่า อย่างน้อยในอดีตหลายพันล้านปีก่อน จะต้องเคยมีจุลินทรีย์อาศัยอยู่บนดาวเคราะห์สีแดงดวงนี้แน่ แต่พวกมันอาจมีพฤติกรรมทำลายตัวเองจนต้องสูญพันธุ์ไปในที่สุด
.
ผลการศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสาร Nature Astronomy ฉบับวันที่ 10 ต.ค. ที่ผ่านมา ชี้ว่ามีความเป็นไปได้สูงที่เมื่อ 3,700 ล้านปีก่อน ดาวอังคารเคยมีจุลินทรีย์ซึ่งกินไฮโดรเจนและขับถ่ายมีเทนออกมา โดยในช่วงเวลาเดียวกันนั้น โลกก็ได้ให้กำเนิดสิ่งมีชีวิตแบบเดียวกันขึ้นมาแล้ว
.
มีการสร้างแบบจำลองคอมพิวเตอร์ เพื่อทำนายถึงผลกระทบที่จุลินทรีย์ซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดแรกบนดาวอังคารมีต่อสิ่งแวดล้อมบนดาวของมันเอง ทำให้พบว่าหากจุลินทรีย์กินไฮโดรเจนเคยมีอยู่จริง พวกมันจะส่งผลเสียต่อชั้นบรรยากาศและการดำรงชีวิตของตนเองเป็นอย่างมาก ซึ่งแตกต่างจากผลกระทบของจุลินทรีย์ชนิดนี้ต่อโลก
.
เนื่องจากชั้นบรรยากาศของดาวอังคารมีองค์ประกอบหลักเป็นคาร์บอนไดออกไซด์และไฮโดรเจน ซึ่งต่างก็เป็นก๊าซเรือนกระจกที่ช่วยกักเก็บความร้อนจากแสงอาทิตย์เอาไว้ ทำให้ดาวอังคารซึ่งอยู่ห่างไกลจากดวงอาทิตย์มากกว่าโลก มีอุณหภูมิอบอุ่นพอที่จะให้กำเนิดชีวิตในยุคราว 4,000 ล้านปีก่อนได้
.
อย่างไรก็ตามการคำนวณด้วยแบบจำลองคอมพิวเตอร์ชี้ว่า หากจุลินทรีย์ที่กินไฮโดรเจนและขับถ่ายมีเทนออกมามีอยู่จริงในยุคต้นของดาวอังคาร พวกมันจะทำให้ไฮโดรเจนในชั้นบรรยากาศหมดไปอย่างรวดเร็ว จนดาวอังคารสูญเสียความสามารถในการกักเก็บความร้อน และพื้นผิวดาวเย็นลงจนไม่สามารถมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ได้อีก
.
การคาดการณ์ด้วยแบบจำลองชี้ว่า อุณหภูมิพื้นผิวของดาวอังคารที่มีชั้นบรรยากาศปกคลุมเพียงเบาบาง ลดต่ำลงจากเดิมที่อยู่ในช่วง 10-20 องศาเซลเซียส ไปอยู่ที่จุดหนาวเย็นสุดขั้วถึง -57 องศาเซลเซียส ทำให้บรรดาจุลินทรีย์ที่เป็นตัวการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ อาจต้องหนีหนาวลงไปอยู่ในชั้นดินหินลึกจากพื้นผิวถึง 1 กิโลเมตร ก่อนจะสูญพันธุ์ไปในเวลาราว 200-300 ล้านปีหลังจากนั้น
.
ภายในช่วงทศวรรษหน้า มนุษย์อาจได้มีโอกาสไปเหยียบดาวอังคารและทำการสำรวจหาร่องรอยสิ่งมีชีวิตโบราณได้ด้วยตนเอง ซึ่งจะเป็นการพิสูจน์ว่าสมมติฐานข้างต้นเป็นความจริงหรือไม่ อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันมีการพบร่องรอยของมีเทนบนดาวอังคาร ซึ่งเชื่อว่าอาจเกิดมาจากสิ่งมีชีวิตแล้ว
.
ดร. บอริส ซอเทอรีย์ ผู้นำทีมวิจัยจากสถาบัน IBENS ของฝรั่งเศส กล่าวสรุปว่า “องค์ประกอบต่าง ๆ ที่ให้กำเนิดชีวิต สามารถพบได้ทั่วไปในจักรวาล จึงมีความเป็นไปได้ว่าสิ่งมีชีวิตถือกำเนิดขึ้นอยู่เสมอในดวงดาวทั้งหลาย แต่หากสิ่งมีชีวิตนั้นไม่สามารถรักษาสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการดำรงชีวิตเอาไว้ได้ ก็จะต้องสูญพันธุ์ไปอย่างรวดเร็ว”


ที่มา https://www.bbc.com/thai/articles/c99881p49kwo 
 

ธุรกิจฝังศพรักษ์โลก สร้างประโยชน์ให้กับธรรมชาติ

จะดีไหม? หากการตายของเรานั้นสร้างประโยชน์ให้กับธรรมชาติ การฝังศพแบบดั้งเดิมใช้สารเคมีที่เป็นพิษ เช่น ฟอร์มาลดีไฮด์ ร่วมกับเหล็ก และคอนกรีต ซึ่งเป็นการใช้พลังงานจำนวนมาก ขณะเดียวกัน ต้นไม้ในป่าก็ต้องการน้ำ ปุ๋ย แสงแดด และมนุษย์เราก็กำลังรณรงค์ให้ปลูกป่าแก้ปัญหาโลกร้อนมากขึ้น
.
บริษัท Transcend จึงผุดไอเดียธุรกิจ “สุสานปลูกป่า” มีแนวความคิดว่า ในเมื่อคนเราก็หาพื้นที่ว่างเพื่อทำสุสานและปลูกป่าเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ถ้าอย่างนั้น ก็เอามารวมกันด้วยการทำให้ร่างกายของมนุษย์ที่เสียชีวิตอย่างเป็นธรรมชาติ ให้กลายเป็นสารอาหารที่สำคัญแก่ต้นไม้ ด้วยการใช้เทคโนโลยีเพื่อการย่อยสลาย 
.
ซึ่งแต่ละศพถูกปลูกไว้ใต้ต้นไม้โดยตรง กลายเป็นส่วนหนึ่งของต้นไม้ในขณะที่มันสลายตัว และเมื่อต้นไม้เหล่านี้เติบโตขึ้นก็จะช่วยฟอกอากาศที่เราหายใจเข้าไปและทำให้อุณหภูมิที่สูงขึ้นของโลกเย็นลงได้
.
นวัตกรรมนี้เริ่มต้นจากการเลือกชนิดต้นไม้ที่ต้องการจะปลูกเพื่อเป็นต้นไม้ของผู้ตายคนนั้น แทนที่จะเลือกไม้มาทำโลงศพ สำหรับการจัดการกับศพ ก็จะไม่ใช่แค่ฝังลงไป แต่ต้องมีการเตรียมหน้าดิน และแร่ธาตุเพื่อให้การย่อยสลายเหมาะสมที่ต้นไม้สามารถเจริญเติบโตได้ด้วย
.
ทั้งนี้ รูปแบบของการนำไปฝัง จะใช้ผ้าและโลงศพชนิดที่ออกแบบมาพิเศษ เพื่อช่วยเร่งปฏิกิริยาย่อยสลายของศพ และเปลี่ยนไปเป็นสารอินทรีย์ที่ไปช่วยในการเจริญเติบโตของต้นไม้
.
ซึ่งสุสานปลูกป่ายังสามารถประหยัดค่าการฝังศพแบบเดิม ถึง 48% เราไม่ต้องจ้างคนมาดูแลสุสาน แต่จ้างคนเพื่อมาดูแลป่า จากสุสานร้าง ๆ มีแต่คราบหินปูนก็กลายเป็นป่าที่สวยงาม สร้างร่มเงาให้แก่ลูกหลานที่กลับมาเยี่ยมเหล่าอาม่า-อากง
.
เป้าหมายของบริษัทคือ การปลูกต้นไม้ให้ได้ 1.2 ล้านล้านต้นทั่วโลก ซึ่งเป็นจำนวนที่นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าสามารถชดเชยผลกระทบที่เป็นอันตรายที่สุดของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้อย่างมีนัยสำคัญ 
.
นอกจากนี้ หากลูกค้ามีการจองพื้นที่สุสานปลูกป่าสำหรับงานศพในอนาคต บริษัทจะปลูกต้นไม้เพิ่มเติม 1000 ต้นทันที และคาดว่าจะเปิดพื้นที่แห่งแรกบนที่ดินที่ถูกตัดไม้ทำลายป่าภายในระยะทาง 2 ไมล์จากหัวเมืองใหญ่ ๆ ในปี 2023
.
Transcend ตั้งเป้าถึงการฝังศพแบบใหม่ เพื่อสะท้อนจิตวิญญาณธรรมชาติที่มองว่าความตายไม่ใช่จุดจบ แต่เป็นการเปลี่ยนผ่านไปสู่การเริ่มต้นและการให้ชีวิตใหม่


ที่มา https://www.bangkokbiznews.com/tech/innovation/1032960 
 

5 "ผลไม้" รักษา สิว ลดริ้วรอย บนใบหน้า ดูกระจ่างใส

ปัญหากวนใจ ใครหลาย ๆ คน สำหรับทุกช่วงวัย ต่างหนีไม่พ้น ริ้วรอย หรือ การเกิด "สิว" บนใบหน้า ซึ่งทุกครั้งเมื่อ ปัญหาเหล่านี้เกิดขึ้นทำให้เกิดความกังวลใจ เพราะการเป็น จะใช้เวลานานในการรักษา ซึ่งมีสาเหตุหลายอย่างจากการเกิด ทั้ง การสะสมสิ่งสกปรกบนใบหน้า การแพ้เครื่องสำอาง ฝุ่นควัน สภาพอากาศ ที่แปรปรวน และอื่น ๆ แต่มีสิ่ง ๆ หนึ่งที่จะช่วยบรรเทา และ รักษา "สิว" ให้หายไปได้จาก "ผลไม้" ที่มี สรรพคุณ ช่วยรักษาได้
.
โดย 5 "ผลไม้" ที่ช่วยรักษา "สิว" บนใบหน้า มีดังนี้
.
1. "แตงโม" หนึ่งใน "ผลไม้" ที่อุดมไปด้วย วิตามินบี 6 และ วิตามินซี ทำให้ "แตงโม" เป็นผลไม้ที่สามารถช่วยรักษา "สิว" ได้ดี และดูแลผิวหน้าได้เป็นอย่างดี โดยหากกินบ่อย ๆ เป็นประจำจะทำให้ผิวหน้าฉ่ำเด้ง สุขภาพดี มีน้ำมีนวล และที่สำคัญ ยังช่วยให้ผิวเนียนใสไร้ "สิว" อีกด้วย
.
2. "ลิ้นจี่" เป็น "ผลไม้" ที่มีโอลิดกนอล ซึ่งเป็น สารอาหาร ที่จะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนเลือดได้เป็นอย่างดี และที่สำคัญ "ลิ้นจี่" นั้นยังมีคุณสมบัติช่วยต่อต้าน ริ้วรอย และยังช่วยฟื้นฟูผิวให้กลับมามีสภาพสวยใสได้ด้วย ยังไม่หมดแค่นี้นะเพราะ "ลิ้นจี่" ยังสามารถช่วยในการลดการอักเสบของ "สิว" บนใบหน้าได้ด้วย
.
3. "มังคุด"  จะสามารถช่วยลดการอักเสบได้ดีมาก เพราะจากการวิจัยทำให้เห็นว่า สารสกัดจากเปลือก "มังคุด"  จะมีสารที่เรียกว่า แซนโทน ซึ่งสารตัวนี้จะมีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียทำให้ผิวไม่เกิดการอักเสบ หรือหากใครที่มี "สิว" อักเสบก็สามารถกิน "มังคุด"  เพื่อช่วยลดการอักเสบได้ รับรองว่าได้ผลลัพธ์ที่ดีแน่นอน
.
4. "มะม่วง" เป็น "ผลไม้" ที่เหมาะกับการดูแลผิวเป็นอย่างมาก เนื่องจาก "มะม่วง" มีสารอาหารที่สามารถช่วยรักษา "สิว" ได้เป็นอย่างดี นั่นก็เพราะว่าในมะม่วงอุดมไปด้วย วิตามินเอ และ เบต้าแคโรทีน ซึ่งเป็น สารต้านอนุมูลอิสระ ที่แข็งแกร่งมาก จึงสามารถช่วยฟื้นฟูผิว และช่วยป้องกันการเจริญเติบโตของสิวทำให้ "สิว" หายเร็วขึ้น
.
5. "มะละกอ"  นอกจากจะนิยมทานเพื่อช่วยเรื่องระบบขับถ่ายและช่วยบำรุงผิวพรรณแล้ว ยังสามารถนำมาช่วยรักษาสิวอักเสบ และลดรอยดำจาก "สิว" ได้ด้วย เนื่องจากใน "มะละกอ"  มีเอนไซม์ปาเปน และ ไคโมปาเปน ช่วยย่อยโปรตีน ซึ่งสามารถลดการอักเสบต่าง ๆ ของผิวหนังได้ และยังช่วยสมานแผลได้ดี
.
และนี่คือ 5 "ผลไม้" ช่วยรักษา ริ้วรอย ลดอาการเกิด "สิว" บนใบหน้า ให้ดูกระจ่างใส หยุดปัญหากวนใจของทุกช่วงวัย ให้กลับมาดู สวยสดใส


ที่มา https://www.komchadluek.net/kom-lifestyle/beauty/533692 
 

“ครอบครัวแหว่งกลาง” ต้นเหตุแห่งปัญหาพฤติกรรมเด็ก

“ถ้าหากไปดูว่าครอบครัวเปราะบางคืออะไร ซึ่งจะพบว่าส่วนใหญ่จะให้คำนิยามว่าเปราะบางที่มาจากสุขภาพร่างกาย สุขภาพจิตใจ เปราะบางจากความยากจน การถูกตีตราจากสังคม และเปราะบางที่มาจากประวัติในอดีต ทว่า เรื่องของการย้ายถิ่นเป็นอีกเรื่องที่สำคัญ โดยอีกมุมทำให้มีประโยชน์กับเศรษฐกิจในครัวเรือน แต่อีกมุมจะทำมาซึ่งความเปราะบางหรือไม่ เพราะมีคนที่ถูกทอดทิ้งไว้ข้างหลัง และเรื่องการย้ายถิ่นยังส่งต่อรุ่นต่อรุ่น ซึ่งในครอบครัวแหว่งกลางรุ่นปู่ย่าอาจจะเป็นผู้ย้ายถิ่นมาก่อนและส่งต่อถึงรุ่นลูก จึงทำให้รุ่นปู่ย่าต้องเลี้ยงดูรุ่นหลาน”
.
ผศ.ดร.สร้อยมาศ รุ่งมณี อาจารย์ประจำวิทยาลัยพัฒนศาสตร์ป๋วย อึ๊งภากรณ์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวในวงเสวนา (ออนไลน์) “คิด for คิดส์ Research Roundup 2022 : พลวัตของครอบครัวเปราะบางในสังคมไทยในสถานการณ์โควิด-19” เมื่อเร็วๆ นี้ ถึง “ครอบครัวแหว่งกลาง” อันหมายถึงครอบครัวที่รุ่นพ่อแม่หายไป และคนรุ่นลูกอาศัยกับปู่ย่าตายาย ซึ่งครอบครัวประเภทนี้เพิ่มขึ้นมาในระยะหลังๆ ตามการสำรวจระหว่างปี 2530-2556
.
กล่าวคือ ในขณะที่ครอบครัวขยายเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 26.5 เป็นร้อยละ 35.7 แต่ในกลุ่มครอบครัวขยายร้อยละ 2.1 เป็นครอบครัวแหว่งกลาง หรือคิดเป็นถึง 1.4 ล้านครัวเรือน ขณะเดียวกัน ยังมีความเปราะบางที่มีการทับซ้อนด้วย ซึ่งใน 1 ครอบครัวอาจไม่ได้มีความเปราะบางประเภทใดประเภทหนึ่ง โดยจากการลงพื้นที่วิจัยในจังหวัดอุดรธานีและจังหวัดลำปาง ซึ่งเป็นจังหวัดที่มีผู้ย้ายถิ่นจำนวนมากอันดับต้นๆ ของไทย นอกจากนี้ยังลงพื้นที่จังหัดพิษณุโลกที่เป็นชุมชนกึ่งเมืองกึ่งชนบท และยังลงพื้นที่ในจังหวัดเชียงรายและจังหวัดตาก ที่มีกลุ่มแรงงานข้ามชาติอีกด้วย
.
พบ 3 ประเด็นหลัก ได้แก่ 
1.ครอบครัวไทยมีความหลากหลาย-ซับซ้อน-ลื่นไหล เมื่อไปดูครัวเรือนพื้นที่ย้ายถิ่นจึงคำถามว่า “จะรักษาความสัมพันธ์ใกล้ชิดอย่างไร?” ซึ่งพบว่ามีความซับซ้อนและไม่ค่อยมีความสมบูรณ์ในครอบครัว ที่ไม่สามารถให้คำจำกัดความได้ และมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เช่น ไม่ได้เป็นครอบครัวแหว่งกลาง(ปู่ย่าตายายเลี้ยงลูกแทนพ่อแม่) ตลอดไปและไม่ได้เป็นครอบครัวเลี้ยงเดี่ยว (พ่อหรือแม่คนใดคนหนึ่งเลี้ยงลูกเพียงลำพัง) ตลอดไป ฉะนั้นความสัมพันธ์ดังกล่าวจึงข้ามเวลาและข้ามพื้นที่ด้วย
.
2.ความแหว่งกลางในครอบครัวอาจจะไม่ได้ถูกเติมเต็ม เมื่อพูดถึงครอบครัวแหว่งกลางมักนึกถึงการแหว่งหรือการแยกจาก แต่ว่าในสถานการณ์จริงครอบครัวจำนวนมาก มีการย้ายถิ่นกลับมาอยู่รวมกัน โดยเฉพาะช่วงหลังโควิด-19 จะพบเจอกับแรงงานกลับบ้านเป็นภาพที่ดูเหมือนครอบครัวจะถูกเติมเต็มอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากัน แต่จริงๆ กลับยิ่งแหว่งกว่าเดิม เช่น ผู้ที่ย้ายออกจากครัวเรือนกลับไปแล้วมีปัญหาสุขภาพกาย จิตใจ และติดยาเสพติด จะยิ่งทำให้แหว่งกว่าเดิม รวมไปถึงพ่อแม่ที่ไม่ได้เลี้ยงลูกมาและออกจากบ้านไปเป็นเวลานาน เวลากลับมาความสัมพันธ์ในครอบครัวจะไม่เหมือนเดิม
.
3.ไม่รู้ว่าจะนิยามครอบครัวแรงงานข้ามชาติว่าอย่างไร ครอบครัวดังกล่าวอยู่กับสังคมไทยมานานถึง 2-3 ทศวรรษ แต่ไม่ค่อยถูกพูดถึงในแง่ของความเป็นครอบครัวมากนักเมื่อเทียบกับในมุมของความเป็นแรงงาน “เนื่องจากบางครอบครัวอยู่ไทยมา 3 รุ่น ซึ่งรุ่นปู่ย่า รุ่นพ่อแม่ และรุ่นลูก เกิดมาคนละที่กันและสถานภาพไม่เหมือนกัน โดยบางทีอยากกลับไปที่บ้านเกิดแล้วแต่กลับไม่ได้เพราะสถานการณ์ทางการเมือง ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ได้ตัดสินใจง่ายๆ ว่าจะอยู่หรือจะไป เพราะว่าการตัดสินใจของครอบครัวแรงงานข้ามชาติขึ้นอยู่กับครอบครัวด้วย โดยทั้งหมดของงานวิจัยจะพบว่าผู้ย้ายถิ่นหรือผู้ที่อยู่ในงานวิจัยเป็นการเคลื่อนไหวย้ายกันที่ทำเพื่อครอบครัว ไม่ได้ทำเพื่อตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นครัวเรือนไทยและครัวเรือนแรงงานข้ามชาติ” ผศ.ดร.สร้อยมาศ ระบุ 
.
ขณะที่ บุศรินทร์ เลิศชวลิตสกุล คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร ขยายความประเด็นครอบครัวแหว่งกลางต่อไปอีกว่า “เมื่อพูดถึงปัญหาของครอบครัวแหว่งกลางซึ่งพ่อแม่ไม่สามารถที่จะดูแลได้อย่างเต็มที่ โดยทั่วไปมักเข้าใจว่าความแหว่งกลางคือพ่อแม่ไม่อยู่ ซึ่งเกิดจากการที่ไปหารายได้ต่างพื้นที่” ไม่ว่าจะเป็นต่างเมืองหรือต่างประเทศ แต่จากการศึกษาพบว่า“ความแหว่งกลางซับซ้อนมากกว่านั้น” เช่น บางทีพ่อแม่ของเด็กไม่ได้ย้ายถิ่นไปไหน แต่มีปัญหาเรื่องของคดีอาชญากรรมที่ต้องจำคุก ปัญหาติดยาเสพติดเรื้อรัง ปัญหาติดการพนัน
.
หรือมีหนี้สินรุงรังที่ไม่สามารถอยู่ดูแลเด็กได้ ยิ่งเมื่อเกิดสถานการณ์โควิด-19 ขึ้นมาจนปัจจุบัน จึงทำให้เป็นปัญหาต่อเนื่องและทับซ้อนขึ้นจากเดิม นอกจากนี้ประเด็นที่น่าสนใจคือ “การเข้าถึงการศึกษาของกลุ่มเด็กที่อยู่ในครอบครัวเปราะบางทับซ้อน” พบว่า “ปัญหาไม่ใช่การเข้าถึงการศึกษาไม่ได้แต่คือการเตรียมพร้อมในชีวิตประจำวันที่ผู้ปกครองไม่สามารถจัดการได้ ทำให้เด็กไม่สามารถเข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพและต่อเนื่อง” ซึ่งปัญหาเหล่านี้ไม่ค่อยถูกพูดถึงมากนัก
.
“บางครอบครัวพ่อแม่ติดยาเสพติดหรือปู่ย่าตายายมีปัญหาเรื่องสุขภาพ ที่ไม่สามารถพาลูกหลานไปโรงเรียนได้ทั้งที่โรงเรียนและศูนย์เด็กเล็กอยู่ใกล้ที่พักมาก บางรายอาศัยในสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม เช่น ถนนเข้า-ออกไม่สะดวก หรือเวลาฝนตกน้ำท่วมทำให้ไปโรงเรียนไม่ได้ ฉะนั้นปัญหาเป็นเรื่องของชีวิตประจำวัน พ่อแม่ที่เป็นแรงงานรับจ้างต้องส่งลูกตอนเช้าแต่ตอนเย็นไปรับไม่ได้ ทำให้ภาระตกอยู่ที่โรงเรียน” บุศรินทร์ กล่าว
.
สอดคล้องกับ ผศ.ดร.วาสนา ละอองปลิว วิทยาลัยสหวิทยาการ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ บอกเล่าเรื่องราวที่พบจากการลงพื้นที่ อาทิ 
1.ในพื้นที่บ้านครก ต.ท่าโพธิ์ อ.เมือง จ.พิษณุโลก พบครอบครัวที่แม่ของเด็กมีลูก 3 คนมีอายุ 3 ขวบ 6 ขวบ และ 20 ปี โดยเป็นเด็กที่มีพ่อคนละคน และลูกคนเล็กคลอดในขณะที่จำคุกเพราะเกี่ยวข้องกับยาเสพติด เพราะฉะนั้นเด็กจึงถูกส่งให้อยู่ในการดูแลของยาย แต่ยายก็มีฐานะยากจนเช่นกันและมีปัญหาสุขภาพด้วย ซึ่งต้องพึ่งพิงรายได้จากสามีใหม่ที่ไม่ได้มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดกับเด็ก 
.
และแม้ในเวลาต่อมาแม่ของเด็กจะพ้นโทษออกมาแล้ว แต่ไม่สามารถที่จะดูแลลูกๆ ได้เนื่องจากยังมีพฤติกรรมใช้ยาเสพติด โดยสิ่งที่เด็กเผชิญความเปราะบางคือสุขภาวะของเด็กต่ำกว่าโภชนาการ ซึ่งมีปัญหาเรื่องน้ำหนักตัวและเด็กไม่สามารถไปโรงเรียนได้ “ทั้งที่องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ในพื้นที่มีศูนย์เด็กเล็กที่ห่างจากบ้านเพียง 1 กิโลเมตร แต่ไม่มีคนที่จะพาเด็กไปที่ศูนย์เด็กเล็ก” อนึ่ง บางครั้งแม่จะพาลูกออกไปข้างนอกด้วย ซึ่งสุ่มเสี่ยงเข้าไปเกี่ยวข้องกับยาเสพติด 
.
เมื่อดูถึงสวัสดิการที่เด็กได้รับพบว่า สวัสดิการที่เด็กและผู้ปกครองได้รับ เป็นสวัสดิการพื้นฐานต่างๆ ของรัฐ ไม่ว่าจะเป็นเงินอุดหนุนบุตร สิทธิบัตรสุขภาพถ้วนหน้า และบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ซึ่งคนเหล่านี้เข้าถึงสิทธิการเรียนฟรีที่ อบต. จัดให้ในศูนย์พัฒนาเด็กเล็กและโรงเรียน อย่างไรก็ตาม สำหรับเด็กอายุ 6 ขวบในครอบครัวนี้ ทาง อบต. ได้ประสานงานทีมสหวิชาชีพนักสังคมสงเคราะห์เข้าไปช่วยเหลือและปัจจุบันเด็กคนดังกล่าวอยู่ในการดูแลของบ้านพักเด็กและครอบครัวจังหวัดพิษณุโลก
.
2.ในพื้นที่บ้านหัวทุ่ง ต.บ้านใหม่พัฒนา อ.เกาะคง จ.ลำปาง ครอบครัวนี้เป็นเด็กที่อาศัยกับยายและพ่อแม่แยกทางกัน พ่อเด็กขาดการติดต่อขณะที่แม่ย้ายถิ่นไปต่างจังหวัด ซึ่งแม่เด็กไม่สามารถสนับสนุนทางการเงินให้กับเด็กและยายได้ อีกทั้งเด็กมีปัญหาด้านพัฒนาการและเป็นออทิสติกที่จำเป็นต้องการดูแลเป็นพิเศษ เมื่อดูสวัสดิการที่เด็กและครอบครัวได้รับ พบว่าเป็นสวัสดิการพื้นฐานต่างๆ ของรัฐ เช่น เบี้ยยังชีพคนพิการ เรียนฟรี และสิทธิบัตรสุขภาพถ้วนหน้า แต่สวัสดิการที่เข้าถึงไม่เพียงพอสำหรับเด็กที่ต้องการดูแลเป็นพิเศษ
.
“เมื่อดูความเปราะบางทั้ง 2 กรณีดังกล่าว พบว่า ภาระในการดูแลเด็กถูกวางไว้บนบ่าครอบครัว ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าครอบครัวมีบทบาทสำคัญในการดูแลเด็ก แต่ว่าภาระในดูแลเด็กไม่ควรจะอยู่ที่ครอบครัวโดยที่หน่วยงานอื่นๆ ไม่ได้ให้การช่วยเหลือ จากครอบครัวที่ศึกษาทั้งหมดจะพบว่า คนในรุ่นพ่อแม่ของเด็กเกี่ยวข้องกับการย้ายถิ่น และหลายกรณีที่สายสัมพันธ์ระหว่างเด็กกับพ่อแม่ที่ย้ายถิ่นหายไป ซึ่งส่งผลต่อพัฒนาการของเด็ก
.
และคนรุ่นพ่อแม่จำนวนหนึ่งไม่ได้ให้การสนับสนุนต่อการดูแลเด็กและคนรุ่นปู่ย่าตายาย ในส่วนของชุมชนพบว่ามีชุมชนในไทยที่มีความเข้มแข็งและมีศักยภาพในการดูแลกลุ่มเปราะบางแต่ก็มีชุมชนไม่น้อยที่มีศักยภาพน้อยจนไม่สามารถดูแลกลุ่มเปราะบางได้” ผศ.ดร.วาสนา กล่าว
.
ผศ.ดร.วาสนากล่าวต่อว่า ในส่วนของโรงเรียนซึ่งส่วนใหญ่เด็กจะใช้เวลาที่โรงเรียนค่อนข้างมาก ซึ่งโรงเรียนสามารถมีส่วนในการพัฒนาเด็กและแก้ไขปัญหาต่างๆ เช่น ปัญหาทางพฤติกรรม เป็นต้น ซึ่งข้อค้นพบในงานวิจัยในพื้นที่พบว่า มีเด็กจำนวนหนึ่งที่ครูสังเกตว่ามีปัญหาทางพฤติกรรมและต้องการความช่วยเหลือ ครูจึงประสานงานกับผู้ปกครองและนักจิตวิทยาเพื่อหาทางแก้ไข ซึ่งค่อนข้างจะช่วยเหลือเด็กได้ แต่ปัญหาคือภาระที่ครูต้องทำขึ้นอยู่กับโรงเรียน ฉะนั้นบางโรงเรียนให้ความสำคัญมาก บางโรงเรียนอาจจะไม่ได้ให้ความสำคัญกับปัญหาดังกล่าว
.
ในส่วนขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ในปัจจุบันพบว่ามีบทบาทสำคัญเป็นอย่างมาก ในการจัดตั้งศูนย์พัฒนาเด็กเล็กที่ช่วยดูแลเด็กในพื้นที่ แต่บทบาทสำคัญยังไม่เพียงพอ ถึงแม้ อปท.มีความรู้และข้อมูลเกี่ยวกับกลุ่มเปราะบางแต่อำนาจหน้าที่ในการดูแลกลุ่มเปราะบางค่อนข้างน้อย ถ้าหาก อปท. สามารถเข้ามามีบทบาทเชิงรุกในการแก้ปัญหาจะเป็นการแก้ปัญหาค่อนข้างดี
.
“จากปัญหากลุ่มเปราะบางที่ได้ศึกษา ภาครัฐจำเป็นต้องเข้ามาดูแลในเรื่องการจัดสวัสดิการในการดูแลเด็กซึ่งปัจจุบันอาจจะไม่มีกลไกในการดูแลเด็กที่ต้องการดูแลเป็นพิเศษที่ดีพอนอกจากนี้การดูแลเด็กไม่สามารถแยกออกได้จากความมั่นคงทางเศรษฐกิจของครอบครัว เพราะฉะนั้นการส่งเสริมให้พ่อแม่สามารถที่จะมีความมั่นคงทางเศรษฐกิจจึงเป็นเรื่องสำคัญ” ผศ.ดร.วาสนา ฝากทิ้งท้าย


ที่มา https://www.naewna.com/local/687275
 

ว.เทคนิคจันทบุรี ต่อยอด”พลอยเมืองจันท์” หลักสูตรเครื่องประดับและอัญมณี

เมื่อเอ่ยถึงจังหวัดจันทบุรี นอกเหนือจากภาพของเมืองท่องเที่ยวทั้งภูเขาและทะเลอันงดงามแล้ว ที่แห่งนี้มีประวัติศาสตร์อันยาวนานในเรื่องของ “พลอยเมืองจันท์” อันเลื่องชื่อ ที่ผู้คนจากทั่วทุกสารทิศ ต่างมุ่งหมายที่จะเดินทางมายังเมืองงามนามจันทบุรี เพื่อชมความงามของพลอยน้ำดี ซึ่งผ่านการเจียระไนจากช่างผู้มีฝีมือที่นี่กันทั้งสิ้น
.
และแม้ว่าในปัจจุบัน พลอยแท้เมืองจันท์ จะหายากขึ้นตามคำบอกเล่าของคนในพื้นที่ แต่ในตลาดพลอยใจกลางเมือง ก็ยังคงคึกคักไม่ต่างจากวันวาน เพราะที่นี่ยังคงเป็น ตลาดค้าพลอยที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ และเป็นแหล่งซื้อขายพลอยคุณภาพดีจากทั้งในและต่างประเทศ ทั้งยังเป็นเหมือน One stop service ที่รวมช่างเจียระไน ช่างทำเครื่องประดับจากพลอย ไปจนถึงผู้ประกอบการ เจ้าของร้านค้าพลอยอีกจำนวนมาก
.
ไม่เพียงเท่านั้น ถ้ากล่าวในบริบทของ “อุตสาหกรรมอัญมณีไทย” ก็ถือว่ามีอัตราการเติบโตที่สดใสอย่างมาก จากข้อมูลล่าสุดของ กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า การส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทย ในช่วงครึ่งปี 2565 (ม.ค.-มิ.ย.) มีมูลค่า 8,713.27 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 93.86% หรือคิดเป็นเงินบาท มีมูลค่า 286,091.04 ล้านบาท
.
โดยปัจจัยที่สนับสนุนการส่งออกให้ขยายตัวต่อเนื่อง มาจากการฟื้นตัวของการบริโภคจากการเปิดประเทศในหลายประเทศทั่วโลก มีการเพิ่มระดับสินค้าคงคลังที่ลดลงไปในช่วงก่อนหน้า ได้อานิสงส์จากเงินบาทอ่อนค่า ที่ช่วยสนับสนุนการส่งออก และตลาดส่งออกสำคัญเพิ่มขึ้น ทั้งสหรัฐฯ สหราชอาณาจักร สหภาพยุโรป อินเดีย ออสเตรเลีย ตะวันออกกลาง เป็นต้น ซึ่งส่งผลดีต่อผู้ประกอบการไทยที่จะกลับมาฟื้นตัว หลังเจอภาวะทรงตัวจากผลกระทบของโควิด-19 อยู่กว่า 2 ปี
.
และในฐานะที่เป็นเมืองแหล่งพลอยคุณภาพดีดังที่เกริ่นมาข้างต้น วิทยาลัยเทคนิคจันทบุรี จึงเป็น 1 ใน 3 วิทยาลัยทั่วไทย ที่เปิดสอนใน หลักสูตรเครื่องประดับและอัญมณี โดยมีประสบการณ์การเปิดสอนในระดับชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพตั้งแต่ปีการศึกษา 2552 รวมจนถึงตอนนี้ก็ประมาณ 13 ปีแล้ว
.
ทว่า เป็นที่น่าเสียดายไม่น้อยที่ในตอนนี้วิชาชีพหรืออาชีพที่เกี่ยวข้องกับการทำอัญมณี กลับไม่ได้รับความสนใจจากคนรุ่นใหม่เท่าที่ควร และประเทศไทยกำลังขาดแคลนบุคลากรที่จะมาทำงานในอุตสาหกรรมนี้ ทั้งที่เป็น “อาชีพทำเงิน” ที่มีสายงานให้เลือกหลากหลาย ตั้งแต่งานช่างฝีมือ งานออกแบบ ไปจนถึงการเป็นผู้ประกอบการ ที่มีธุรกิจขายเครื่องประดับพลอยเป็นของตนเอง ซึ่งปัญหาที่เกิดขึ้นนี้ ก็ส่งผลต่อเนื่องทำให้ที่ แผนกวิชาเครื่องประดับอัญมณี วิทยาลัยเทคนิคจันทบุรี มีจำนวนผู้เรียนที่น้อยลงทุกปีเช่นกัน
.
และถ้าจะวิเคราะห์ถึงสาเหตุของปัญหานี้ ก็เกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัย ทั้งอัตราเด็กเกิดที่น้อยลง ไปจนถึงการเปลี่ยนแปลงในยุคดิจิทัลดิสรัปชัน ที่ทำให้เด็กรุ่นใหม่เบนเข็มไปเลือกเรียนในสาขาวิชาที่เกี่ยวข้องกับดิจิทัล สารสนเทศ และเทคโนโลยี ทำให้การเรียนสายวิชาชีพที่เกี่ยวข้องกับงานฝีมือ งานออกแบบ เครื่องประดับและอัญมณี ได้รับความสนใจลดลงเรื่อย ๆ
.
ทั้งนี้ ยังมีเหตุปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับ ทิศทางการเติบโตของเศรษฐกิจในจังหวัดจันทบุรีเอง ที่มุ่งไปยังอุตสาหกรรมการเกษตร เนื่องจากพื้นที่จังหวัดจันทบุรีเป็นแหล่งผลิตผลไม้สำคัญของไทย ที่สร้างรายได้ให้คนในจังหวัดอย่างมหาศาล เช่นกันกับธุรกิจท่องเที่ยวและบริการที่ทำรายได้ให้ชาวจันทบุรีได้มากไม่แพ้กัน จึงไม่น่าแปลกใจเลย ที่ผู้ปกครองของเยาวชนในจันทบุรี จะส่งเสริมให้บุตรหลานเล่าเรียนตามเทรนด์ธุรกิจที่กำลังทำเงินอยู่ในตอนนี้ จนทำให้ อาชีพที่เกี่ยวข้องกับเครื่องประดับและอัญมณี ได้รับการมองข้ามไปอย่างน่าเสียดาย
.
ด้วยเหตุนี้ เราจึงอยากให้ทุกคนได้มาทำความรู้จักกับ หลักสูตรเครื่องประดับและอัญมณี วิทยาลัยเทคนิคจันทบุรี ซึ่งเป็นแหล่งผลิตบุคลากรวิชาชีพตอบสนองอุตสาหกรรมอัญมณีไทย ให้มากขึ้น ซึ่งในตอนนี้ วิทยาลัยที่เปิดสอนในหลักสูตรเครื่องประดับและอัญมณี ในประเทศไทย มีอยู่ 3 แห่งเท่านั้น คือ  วิทยาลัยเทคนิคจันทบุรี กาญจนาภิเษกวิทยาลัยช่างทองหลวง และ วิทยาลัยเทคนิคกาญจนบุรี
.
สำหรับ วิทยาลัยเทคนิคจันทบุรี เปิดทำการเรียนการสอนในระดับชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพตั้งแต่ปีการศึกษา 2552 รวมเวลามาถึงตอนนี้ก็ประมาณ 13 ปีแล้ว เริ่มแรกเป็นวิชาชีพเลือกเสรี ที่เกี่ยวข้องกับวิชาในเชิงการอนุรักษ์ โดยเปิดพร้อมกับวิชาทอเสื่อ เพราะอัญมณีกับเสื่อกกจันทบูรถือเป็นสินค้าประจำจังหวัดจันทบุรี จึงเลือก 2 วิชานี้มาเป็นวิชาชีพเลือกเสรีให้นักศึกษาได้เรียน ซึ่งเนื้อหาวิชาหลัก คือ การเรียนในเรื่องการเจียระไนพลอยซึ่งเป็นเทคนิคเฉพาะของทางจังหวัดจันทบุรี
.
หลังจากนั้นในปี 2559 เริ่มมีการประกาศเปิดหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ ปวช. วิชาเครื่องประดับและอัญมณี จึงขยับฐานขึ้นมาเปิดเป็นหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ ก็คือ ปวช. และหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง คือ ปวส. แต่สอนในแผนกวิชา โดยการเรียนการสอนจะสอนทั้งระบบปกติหรือทวิภาคี แล้วแต่นักเรียนจะเลือกเรียน ส่วน ปวส. ตอนที่เปิดปี 2559 เราเปิดเป็นสาขางานเครื่องประดับอัญมณีก่อน หลังจากนั้นก็มีการปรับปรุงหลักสูตรในปี 2563 แล้วมาเปิดเป็นสาขางานออกแบบเครื่องประดับอัญมณีในระดับ ปวส.
.
ในระดับชั้น ปวช. นักศึกษาต้องเรียนเกี่ยวกับงานรูปพรรณ การขึ้นรูปตัวเรือน ซึ่งนักศึกษาไม่จำเป็นต้องมีพื้นฐานอะไรมาก่อนเพราะทางวิทยาลัยฯจะสอนให้หมด ทั้งในระดับ ปวช. และปวส. เด็ก ๆ ต้องมาเรียนพื้นฐานศิลปะใหม่ทั้งหมด ตามกลุ่มวิชาสมรรถนะวิชาชีพพื้นฐานจะมีวิชาศิลปะปูพื้นให้
.
ส่วนระดับ ปวส. ในหลักสูตรเก่านักศึกษา จะเรียนแบบทวิภาคี คือเรียนแค่ 1 ปี แล้วอีกปีหลังจากนั้นก็ไปฝึกงานกับสถานประกอบการทั้งปี ส่วนหนึ่งเด็กจะเรียนรู้เร็วเพราะว่าเด็กส่วนใหญ่จะจบ ปวช. มาแล้ว ก็จะมีพื้นฐานมา แต่การเรียนในระดับ ปวส. จะเน้นการเรียนรู้ในงานที่ซับซ้อนขึ้น โดยจะไปเรียนรู้ในสถานประกอบการ ซึ่งก็จะได้เรียนรู้ทักษะชีวิตไปด้วย ไม่ว่าจะเป็นการร่วมงานกับคนอื่น การรับ-ส่งงาน การตรวจสอบงาน โดยทักษะฝีมือที่กระบวนการอุตสาหกรรมต้องการจริงๆ นักศึกษาก็ต้องไปเรียนรู้ในสถานประกอบการจริง ในระบบทวิภาคีซึ่งเป็นนโยบายหลักของวิทยาลัยอาชีวศึกษาอยู่แล้ว ซึ่งเมื่อศึกษาจบ นักศึกษาก็เลือกได้ว่าจะทำงานในภาคอุตสาหกรรม หรือมาเป็นเจ้าของธุรกิจเอง
.
โดยที่ผ่านมา จากการทำการเรียนการสอนในระบบทวิภาคี ได้มีการสร้างความร่วมมือกับทางสถานประกอบการ ส่งนักศึกษาไปเรียนรู้และฝึกงานในสถานที่ทำงานจริง ก็พบว่าเกิดผลดีในหลายทาง ทั้งนักศึกษาเองก็ได้เรียนรู้จากเครื่องไม้เครื่องมืออันทันสมัยในสถานประกอบการ ซึ่งส่วนใหญ่เมื่อนักศึกษาที่ไปฝึกงานเรียนจบ ทางสถานประกอบการก็จะรับเข้าทำงานต่อทันที เพราะนักศึกษาคนนั้นได้ผ่านการเทรน อบรมทักษะการทำงาน ในแบบที่สถานประกอบการนั้นต้องการแล้ว
.
ถ้านักศึกษาต้องการเรียนต่อในระดับปริญญาตรี ทางวิทยาลัยฯก็ได้สร้างความร่วมมือไว้กับ มหาวิทยาลัยราชภัฏรำไพพรรณี ที่มีการเรียนการสอน คณะอัญมณีศาสตร์และประยุกต์ศิลป์ หรือที่ มหาวิทยาลัยบูรพา วิทยาเขตจันทบุรี ก็มีเปิดการเรียนการสอนในหลักสูตรศิลปกรรมศาสตร์บัณฑิต (สาขาวิชาการออกแบบเครื่องประดับ) ซึ่งสามารถไปสมัครเพื่อศึกษาต่อได้เลยเช่นกัน


ที่มา https://www.salika.co/2022/09/28/jewelry-design-program-at-chantaburi-technical-college/ 
 

โคมไฟ IKEA Design สวย กระแสเชียร์

ยอมรับเลยจริงๆว่าเป็นคนที่แบบทาสการตลาดมากก เห็นกระแสอะไรนิดอะไรหน่อยไม่ได้บอกเลยว่าต้องซื้อตามแน่ ๆ แล้วนี่เป็นผู้หญิงอะไรยิ่งสวยๆงามๆ ๆ คือพลาดไม่ได้ อันไหนใช้แล้งสวยบอกเลยวิ่งไปตำ เงินจะหมดไม่ว่าแต่หน้าต้องสวยตลอดค่า

นี่เลยโคมไฟอีเกีย ตัวนี้ไม่พูดถึงไม่ได้ ลองเสิร์จได้เลยทุกแอพเจ้าตัวนี้มาแรงแซงโค้งจริงๆๆ เพราะว่าพอเปิดมานะ เวลาถ่ายรูปผิวเราจะสวยมากกก ออกนวลๆก็เลยเป็นที่มาของโคมไฟอีเกียที่ฮิตๆ ๆ กันนี่แหละ และพิมก็ไปซื้อตามกระแสจนได้ ทนไม่ไหวอ่ะ พอซื้อมาแล้วลองใช้คือมันดีตามที่เป็นกระแสเลยจริงๆ ๆ ผิวสวยไม่ไหว

ตัวนี้เป็น โคมไฟโต๊ะทำงานจากพลาสติกรีไซเคิล แล้วไฟของเขาก็คือให้แสงไฟเฉพาะจุดที่ย้ายไปใช้ในบริเวณต่างๆ ของบ้านได้ง่าย และเข้ากันได้ดีกับสไตล์การตกแต่งภายในบ้าน ดีไซน์ตัวโคมไฟก็คือตั้งแต่หัวจรดปลายสมกับที่เป็นของอีเกียเลยจริงๆ

แล้วว่าไม่ได้นะถึงจะเป็นพลาสติก แต่จะบอกว่าของอีเกียแข็งแรง ทนทาน ใช้งานได้นานมากกก เคยเผลอทำโคมไฟตกครั้งนึง ยังไม่แตกเลยจ้าาา น้องตุยยากเว่อออ เคยไปอ่านเจอมาที่เขาทำเป็นพลาสติกเพราะแบรนด์เขาใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อมมากกก พลาสติกที่เอามาทำโคมไฟสามารถหมุนเวียนได้ 100% เลย 

การใช้งานไม่ซับซ้อนซ้อนอะไรมากโคมไฟจะมีแค่ 2 ส่วน ส่วนไฟกับส่วนฐานเสียบปลั๊กใช้ได้เลยซึ่งเหมาะกับคนยุคนี้มากที่ไม่ใช่ทำอะไรยุ่งยาก อารมณ์แบบมาถึงพร้อมใช้เลยก็นี่แหละของอีเกียตอบโจทย์สุด พูดถึงเรื่องราคาก็หลักร้อย บอกเลยว่าคุ้ม ใช้งานได้นานมีประโยชน์ แถมแข็งแรงทนทานอีก

ส่วนตัวใช้ทำอะไรบ้างก็เอาไว้ใช้อ่านหนังสือ ใช้ไว้ตอนถ่ายงานเพราะรู้สึกเปิดแล้วผิวจะสวยเป็นพิเศษ หรือบางทีฝนตกอยากได้ฟีล ห้องสลัวๆ ก็เปิดเจ้าโคมไฟตัวนี้แหละบอกเลยว่ามูดดีขึ้น 60%

พิกัด
ราคา : 149 บาท
ออนไลน์ : https://www.ikea.com/th/th/p/svallet-work-lamp-dark-grey-white-70358487/ 


รีวิวโดย พิม THE STUDY TIMES 
 


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STUDY TIMES
Take Me Top