Thursday, 21 September 2023
MOVIE,SERIES

TOPGUN หนังสำคัญของยุค 80 แรงบันดาลใจจากนักบินขับไล่สู่หัวใจของคนธรรมดา

วันที่ 16 พฤษภาคม 1986 คือวันแรกที่หนังเรื่อง Top Gun เข้าฉายในสหรัฐอเมริกา และหลังจากนั้นก็กลายเป็นหนังบล็อกบัสเตอร์ที่ดังถล่มทลายเกิดคาด ตั้งแต่รายได้ แจ้งเกิดนักแสดงนำ ซาวน์แทร็ก ไปจนถึงแว่นกันแดดเรย์แบน และกลายเป็นสัญลักษณ์สำคัญของวัฒนธรรมป๊อปในยุค 80's
.
บทหนัง Top Gun เขียนขึ้นจากบทความชื่อ Top Gun โดยอีฮัด โยเนย์ ที่ตีพิมพ์ในนิตยสาร California เมื่อปี 1983 เกี่ยวกับชีวิตของนักบินขับไล่ของกองทัพอากาศ Naval Air Station Miramar ในซานดิเอโก มีนักเขียนบทหลายคนปฏิเสธโปรเจ็กต์นี้ไป จนตกถึงมือจิม แคช และแจ็ค เอปปส์ จูเนียร์ ที่ต้องผ่านการรีเสิร์ชและเข้าไปร่วมคลาสฝึกบินจริงๆ ที่ Miramar แต่ก็ใช่ว่าจะง่าย บทดราฟต์แรกที่ทั้งสองเขียนยังไม่ถูกใจโปรดิวเซอร์อย่างเจอรี่ บรัคไฮเมอร์ และดอน ซิมป์สัน ต้องแก้แล้วแก้อีกหลายรอบจนออกมาเป็นที่พอใจ


หลังจากที่วางตัวผู้กำกับให้เป็น โทนี่ สกอตต์ แต่สำหรับบทพระเอก มาเวอริค นั้นมีหลายคนที่ถูกทาบทาม ไล่มาตั้งแต่แพทริก สเวย์ซีย์, เอมิลิโอ เอสเตเวซ, นิโคลัส เคจ, จอห์น คูแซค, แมทธิว บรอเดอริค, ฌอน เพนน์, ไมเคิล เจ. ฟ็อกซ์ จนถึงทอม แฮงค์ส แต่ทุกคนปฏิเสธบทนี้ คนที่ใกล้ความจริงที่สุดคือแมทธิว โมดีน แต่สุดท้ายก็บอกปัดเนื่องจากมีเรื่องราวการเมืองแทรกอยู่ในหนัง ส้มมาหล่นที่ ทอม ครูซ ดาราหนุ่มหน้าใหม่ในตอนนั้นเริ่มเป็นที่รู้จักจากหนัง Risky Business (1983) และเคยเล่นหนังเรื่อง Legend (1985) ของริดลีย์ สก็อตต์ ซึ่งแนะนำให้น้องชายโทนี่ได้รู้จักกับครูซ และได้บทนี้ไปในที่สุด ขณะที่บทนำหญิง ชาร์ลี แบล็ควู้ด นั้นมีตัวเก็งอย่างอัลลี ชีดี้ แต่เธอบอกปัดเพราะคิดว่าหนังน่าจะแป๊ก บทนี้เลยตกไปที่เคลลี แมคกิลส์ ที่ถือว่าเป็นหน้าใหม่เหมือนกันในเวลานั้น ความตลกก็คือทุกครั้งที่เข้าฉากพระนาง แมคกิลส์ที่สูงกว่าครูซถึง 7 เซนติเมตรต้องถอดรองเท้า และครูซต้องสวมบู๊ทเสริมส้นเพื่อเพิ่มความสูง



ด้วยความที่ Top Gun มีเรื่องราวเกี่ยวกับทหารในกระทรวงกลาโหม เพนตากอนจึงยอมให้ใช้เครื่องบินและเรือบรรทุกเครื่องบินมาใช้ถ่ายเข้าฉากหลายลำ โดยคิดค่าเช่าทั้งหมดเพียง 1.8 ล้านเหรียญสหรัฐ แต่มีข้อแม้ว่าต้องส่งบทหนังให้ตรวจก่อน เพื่อให้แน่ใจว่านำเสนอเรื่องราวของกองทัพออกมาในทางบวก สุดท้ายมีการขอให้เปลี่ยนบทให้กูส (แอนโธนี เอ็ดเวิร์ส) เสียชีวิตเพราะปุ่มดีดตัวนักบินไม่ทำงาน แทนที่จะเป็นการขับเครื่องบินชนกันกลางอากาศอย่างในบทตอนแรก
.
การถ่ายทำเป็นไปด้วยความทุลักทุเล เนื่องจากหลายครั้งที่นักแสดงต้องเข้าฉากขับเครื่องบินในอากาศจริงๆ ทอม ครูซ ได้ขับ F-14 Tomcat อยู่สามครั้งและอาเจียนในครั้งแรก เช่นเดียวกับนักแสดงคนอื่นๆ ที่ไม่ชินกับการนั่งเครื่องบินรบในอากาศ ส่วนผู้กำกับ โทนี่ สก็อตต์ ก็โดนไล่ออกกลางกองถ่ายถึงสามครั้ง หนึ่งในนั้นมีสาเหตุมาจากสตูดิโอบอกว่าสก็อตต์ทำให้นางเอก เคลลี แมคกิลส์ ดูเหมือนสาวขายบริการ และหลังจากที่หนังปิดกล้องเรียบร้อยไป 5 เดือน ในรอบทดลองฉายของสตูดิโอ คนดูส่วนใหญ่ลงความเห็นว่าควรจะมีฉากเลิฟซีนด้วย โปรดิวเซอร์ต้องเรียกตัวครูซและแมคกิลส์กลับมาถ่ายฉากทั้งคู่อ้อล้อกันในลิฟต์ รวมถึงฉากเลิฟซีนบนเตียงประกอบเพลง “Take My Breath Away” ของวงเบอร์ลิน



หลังหนังออกฉาย แม้นักวิจารณ์ส่วนใหญ่จะรุมสับว่าเป็นหนังที่ ‘แย่’ แต่ Top Gun กลายเป็นหนังสุดฮิตและทำเงินสูงสุดในปี 1986 โดยทำรายได้ในอเมริกาถึง 176 ล้านเหรียญ และทั่วโลกอีก 177 ล้านเหรียญ รวมทั้งสิ้น 353 ล้านเหรียญ นอกจากโปรดิวเซอร์และผู้กำกับจะได้หน้าจนขึ้นหิ้งในสตูดิโอไปแล้ว คนที่ได้อานิสงส์จากงานนี้ไปมากที่สุดคือพระเอกทอม ครูซ ที่ขึ้นแท่นซูเปอร์สตาร์ไปในทันที (เขาได้ค่าตัว 1 ล้านเหรียญจากหนังเรื่องนี้) นอกจากนั้น ซาวน์แทร็ก Top Gun ที่มีเพลงดังอย่าง “Danger Zone” ของเคนนี ล็อกกินส์ และ “Take My Breath Away” ของเบอร์ลิน ซึ่งเพลงหลังได้รางวัลเพลงประกอบยอดเยี่ยมรางวัลออสการ์ ก็กลายเป็นอัลบั้มซาวน์แทร็กที่ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า ขึ้นอันดับ 1 บนบิลบอร์ด และขายได้กว่า 10 ล้านก๊อปปี้



อีกส่วนที่ได้ผลบุญจากหนัง Top Gun ก็คือแว่นกันแดดเรย์แบนรุ่น Ray-Ban Aviator ที่ทอม ครูซ สวมในเรื่องก็ทำให้ยอดขายพุ่งสูงขึ้นถึง 40% ภายใน 7 เดือนหลังจากหนังฉาย และเป็นเรื่องบังเอิญที่ก่อนหน้านั้นไม่กี่ปีทอม ครูซ ก็เพิ่งจะทำให้แว่นเรย์แบนรุ่น Wayfarer ที่เขาใส่ในหนัง Risky Business ขายดีเพิ่มขึ้น 50% ภายใน 1 ปีเช่นกัน



เมื่อปี 2010 มีการเริ่มพูดคุยกันถึงโปรเจ็กต์ภาคต่อของ Top Gun แต่หลังจากการเสียชีวิตของโทนี่ สก็อตต์ ในปี 2012 ทุกอย่างก็เริ่มนิ่ง กระทั่งในปี 2014 มือเขียนบท จัสติน มาร์คส์ ได้ออกมาบอกว่าเขากำลังอยู่ในระหว่างเขียนบทหนัง และในปี 2017 ทอม ครูซ ก็คอนเฟิร์มว่าภาคต่อของ Top Gun จะเริ่มถ่ายทำในปี 2018 ในชื่อ Top Gun: Maverick โดยมีผู้กำกับเป็น โจเซฟ โคซินสกี้ ที่เคยร่วมงานกับครูซใน Oblivion และวันนี้ Top Gun: Maverick ก็ออกมาทำรายได้อย่างถล่มทลายทั่วโลก ครูซในวัย 59 ปีแสดงให้เห็นแล้วว่าเขามีกำลังวังชา มีดีพอที่จะเหินฟ้าได้เหมือนเมื่อ 30 ปีก่อนแบบไม่ต้องสงสัย 


ที่มา https://www.gqthailand.com/culture/article/top-gun-tom-cruise

ผีดิบจีน กระโดดทำไม ? สงสัยทุกครั้งที่ดูหนังจีน มาหาคำตอบกันดีกว่า

เจียงซือ (จีนตัวเต็ม: 僵屍; พินอิน: jiāngshī, เวด-ไจลส์: jiangshi, แปลว่า "ศพแข็ง") เป็นผีจำพวกแวมไพร์หรือซอมบี้ตามความเชื่อของจีน

เจียงซือ ปรากฏในวัฒนธรรมร่วมสมัยหลายประการ เช่น ภาพยนตร์ชุด Mr. Vampire (ผีกัดอย่ากัดตอบ) ซึ่งมีด้วยกันทั้งหมด 5 ภาค หรือในวิดีโอเกมต่าง ๆ เช่น Reigen Doushi (เปา เปา) โดยมักปรากฏในเครื่องแต่งกายชุดขุนนางยุคราชวงศ์ชิงหรือตัวละครในการ์ตูนญี่ปุ่นชุด Dragon Ball ชื่อ เจาสึ (ญี่ปุ่น: 餃子) ก็ดัดแปลงมาจากเจียงซือ 
.
เจียงซือ เชื่อว่าเป็นแวมไพร์ที่อาศัยนอนหลับอยู่ในโลงศพหรือถ้ำในเวลากลางวัน และในเวลากลางคืนจะออกหากินด้วย การดูดเลือดของมนุษย์หรือสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ด้วยการกระโดด เจียงซือมีผิวที่ขาวซีดและมีขนยาว ซึ่งเกิดจากเชื้อรา ที่ เจริญเติบโตบนร่างกายแต่ถ้าเจียงซือกระโดดข้ามกระสอบข้าว จะก้มลงนับเมล็ดข้าวทุกเมล็ด ซึ่งวิธีป้องกันเจียงซือ บางครั้งจะใช้การโปรยเมล็ดพืชหรือข้าวไว้ตามทางเดินหรือหลังคาบ้าน เพื่อถ่วงเวลาให้เจียงซือนับเมล็ดข้าวจนถึงเช้าซึ่งวิธีการเช่นนี้ก็เป็นวิธีเดียวกันกับการป้องกันแวมไพร์ของยุโรป

แท้จริงแล้ว เจียงซือ เป็นความเชื่อในทางไสยศาสตร์ของลัทธิเต๋าหรือเหมาซาน ชาวจีนมีความเชื่อว่า เมื่อมีผู้ตายลง ศพจะต้องถูกฝังในบ้านเกิด ในสมัยโบราณการคมนาคมเป็นไปอย่างลำบาก นักบวชในลัทธิเหมาซาน จึงทำพิธีปลุกศพให้ลุกขึ้นมากระโดดตามตัวเป็นขบวน โดยมีการการสั่นกระดิ่งเป็นเครื่องให้จังหวะ ซึ่งถือว่าเป็นพิธีลับห้ามให้ผู้คนทั่วไปเห็น ซึ่งวิธีการเช่นนี้เป็นที่นิยมกระทำในเขตปกครองตนเองชนชาติถูเจีย-ม้ง เซียงซี (อยู่ทางทิศตะวันตกของมณฑลหูหนาน) เรียกว่า 湘西趕屍 (พินอิน: Xiangxi ganshi, แปลว่า "การขนศพในเซียงซี") ถือเป็นคำบอกเล่าหรือความเชื่อประการหนึ่งในท้องถิ่น 

ในหนังสือที่แต่งจากการคำบอกเล่านี้ ชื่อ The Corpse Walker ของเหลียว ยี่วู่ ระบุว่า พิธีนี้จะกระทำกัน 2 คน โดยผู้กระทำจะสวมเสื้อคลุมตัวใหญ่ที่คลุมตัวไว้ทั้งหมด และแต่งตัวศพด้วยชุดคลุมสีขาวและคลุมศีรษะด้วยผ้าคลุม พร้อมกับใช้โคมไฟเป็นเครื่องนำทาง ขณะที่ออกเดินจะร้องบอกเตือนอยู่เป็นระยะ ๆ ว่า ให้ระวังอุปสรรคต่าง ๆ ที่อยู่ข้างหน้า ซึ่งพิธีนี้จะกระทำกันในเวลากลางคืนเพื่อหลีกเลี่ยงการมีผู้พบเห็นและสภาพอากาศที่เย็นเหมาะกับการกระทำ ซึ่งศพของผู้ตายจะมองไม่เห็นผู้นำทางเนื่องจากถูกปิดบังไว้ด้วยเสื้อคลุม
.
อย่างไรก็ตาม มีผู้แย้งว่า แท้จริงแล้วเรื่องเจียงซือ หรือพิธีขนศพนี้เป็นเพียงเรื่องแต่งขึ้นมาของขบวนการขนย้ายหรือลักลอบขโมยศพแบบผิดกฎหมายซึ่งเป็นไปได้ว่าการที่เห็นเป็นศพกระโดดเป็นขบวน คือ การที่มัดศพกับท่อนไม้ไผ่ต่อ ๆ กัน หรือแบกขึ้นหลัง

 

นอกจากนี้แล้ว ในหมู่บ้านในชนบทที่ห่างไกลของอินโดนีเซีย มีประเพณีการฝังศพที่เชื่อว่า จะให้ผู้ตายเดินกลับมาฝังศพตัวเองในบ้านเกิด หากเป็นกรณีที่ผู้ตาย เสียชีวิตในที่ห่างไกลจากบ้านเกิด จะทำการฝังไปก่อน เมื่อผ่านไปหลายปี ญาติ ๆ จะขุดศพขึ้นมาแต่งตัวให้เหมือนยังมีชีวิตอยู่ ไม่มีการคลุมหน้าศพ และทำพิธีปลุกให้ศพเดินกลับบ้านเอง โดยเลือกเส้นทางที่เงียบที่สุด มีข้อห้าม คือ ห้ามแห่หรืออุ้มศพเป็นอันขาด หากใครไม่ปฏิบัติตามก็จะเจ็บป่วยโดยไม่ทราบสาเหตุ อย่างไรก็ตาม ผู้ที่ทำพิธีกรรมนี้ บอกว่าแท้จริงแล้ว ก็เป็นญาติของผู้ตายนั้นเป็นผู้อุ้มศพเอง 



ที่มา https://th.wikipedia.org/wiki/เจียงซือ  
 

รู้จักย่านดัง “กามธิปุระ” จาก “Gangubai Kathiawadi หญิงแกร่งแห่งมุมไบ”

พาไปรู้จักกับ “กามธิปุระ” ย่านโสเภณีชื่อดังในเมืองมุมไบ ที่เป็นฉากหลักในหนังอินเดียสุดปังเรื่อง “Gangubai Kathiawadi หญิงแกร่งแห่งมุมไบ” ซึ่งกำลังโด่งดัง มีคนแต่งตัวเลียนแบบคังคุไบกันว่อนโซเชียล
.
“Gangubai Kathiawadi” เป็นหนึ่งในภาพยนตร์บอลลีวูดของยุคนี้ พ.ศ.นี้ ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง มีชื่อเสียงโด่งดังและเป็นที่รู้จักไปในหลายประเทศทั่วโลก


Gangubai Kathiawadi (คังคุไบ กฐิยาวาฑี) หรือที่ภาษาไทยใช้ชื่อว่า “หญิงแกร่งแห่งมุมไบ” เป็นหนังอินเดียยุคใหม่สร้างขึ้นมาจากนิยายเรื่อง “Mafia Queen of Mumbai” เขียนโดย “ฮุสเซน ไซดี” (Hussain Zaidi) ซึ่งได้อ้างอิงเรื่องราวชีวิตจริงของ “Gangubai Harjeevandas” (คังคุไบ ฮาร์จีวันดัส) โสเภณีคนดังแห่งเมืองมุมไบ ที่เป็นทั้ง “แม่พระ” และ “มาเฟีย” ในคน ๆ เดียวกัน
.
ภาพยนตร์เรื่องนี้มีความยาวประมาณ 150 นาที เข้าฉายครั้งแรกในเทศกาลหนังเบอร์ลินเมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ก่อนจะเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ที่อินเดียเมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ และสามารถกวาดรายได้เบื้องต้นไปเกือบ ๆ 900 ล้านบาท จากต้นทุนประมาณ 500 ล้านบาท


จากนั้นหนังเรื่องนี้มาตอกย้ำความปังไปอีกขั้น หลังถูกนำมาออกอากาศทาง Netflix ซึ่งได้รับความนิยมอย่างสูง มีคนสนใจในหลายประเทศทั่วโลกรวมถึงในบ้านเรา ชนิดที่ว่ามีการแต่งคอสเพล์ยเลียนแบบคังคุไบกันว่อนโซเชียล
.
Gangubai Kathiawadi นำเสนอเรื่องราวของ “คังคุไบ” ตั้งแต่ในวัยเยาว์ที่เติบโตมากับความฝันอยากเป็นนักแสดง แต่ทว่า...เธอกลับถูกสามีหลอกไปขายให้กับซ่องโสเภณีในมุมไบตั้งแต่มีอายุเพียง 16 ปี เพื่อแลกกับเงินไม่กี่ร้อยบาท
.
แต่คังคุไบก็ไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตาเธอต่อสู้ฟันฝ่าจากโสเภณี ไต่เต้าขึ้นมาเป็นแม่เล้า จนกลายเป็นหญิงเจ้าของซ่องผู้ร่ำรวย และมีอิทธิพลคนหนึ่งของอินเดีย จนได้ชื่อว่า “ราชินีมาเฟียแห่งมุมไบ”
.
นอกจากนี้คังคุไบยังได้ต่อสู้ เป็นกระบอกเสียงเรียกร้องสิทธิ์และศักดิ์ศรีให้กับโสเภณี พร้อมทั้งเสนอให้โสเภณีเป็นอาชีพที่ถูกกฎหมายในอินเดีย ทำให้เธอได้รับการยกย่องจากคนจำนวนมาก
.
ภาพยนตร์เรื่องนี้กำกับโดย “ซันเจย์ ลีลา ภันสลี” (Sanjay Leela Bhansali) นำแสดงโดย “อเลีย บาตต์” (Alia Bhatt) นักแสดงหญิง วัย 29 ปี ผู้รับบทคังคุไบ ซึ่งได้รับคำชื่นชมจากคนที่ดูหนังเรื่องนี้จำนวนมาก นอกจากนี้ก็ยังมีดาราดังของออนเดีย อื่น ๆ อาทิ Ajay Devgn, Shantanu Maheshwari, Jim Sarbh, Varun Kapoor และ Jodein Rishton Ke Sur เป็นต้น



เรื่องราวของคังคุไบทั้งในชีวิตจริงและในภาพยนตร์ มีย่าน “กามธิปุระ” เป็นฉากหลักสำคัญ กับภาพจำของคังคุไบในชุดส่าหรีสีขาว ดูสวยสง่าและมีอำนาจ
.
สำหรับกามธิปุระ (Kamthipura หรือ Kamathipura) เป็นหนึ่งในย่านชุมชนเก่าแก่ของมุมไบ ประเทศอินเดีย มีการก่อตั้งรกรากขึ้นมาตั้งแต่ราวปี ค.ศ.1795
.
เดิมย่านกามธิปุระเรียกว่า “ลัลบาซาร์” (Lal Bazaar) เป็นย่านแหล่งรวมแรงงานก่อสร้างสำคัญของมุมไบ ต่อมาในช่วงศตวรรษที่ 19 มีโสเภณีจากญี่ปุ่นและยุโรปเข้ามาอยู่อาศัยที่ย่านนี้มากขึ้นเรื่อย ๆ จนถูกเรียกขานว่า “White Lane” ตามสีผิวของผู้คนที่นี่
.
กระทั่งในปี ค.ศ.1947 หลังอินเดียได้รับเอกราช มีโสเภณีชาวอินเดียย้ายถิ่นฐานเข้ามาอยู่ที่ย่านแห่งนี้เป็นจำนวนมากจนกลายเป็นย่านโสเภณีชื่อดังของอินเดียในเวลาต่อมา
.
อย่างไรก็ดีจำนวนของโสเภณีที่ย่านกามธิปุระในยุคหลัง มีจำนวนลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยข้อมูลจากองค์กรการวิจัยทางการแพทย์ BMC ระบุว่า ใน ปี ค.ศ.1992 กามธิปุระมีโสเภณีอยู่ราว 50,000 คน
.
ส่วนในปี ค.ศ.2009 มีโสเภณีราว 1,600 คน ครั้นมาในปี ค.ศ. 2018 ที่นี่มีโสเภณีลดลงเหลือประมาณ 500 คน กับสถานที่ขายบริการหรือซ่องที่หลงเหลือราว 25 แห่งเท่านั้น ทั้งนี้ก็เนื่องมาจากนโยบายการพัฒนาเมืองและสถานการณ์โรคติดต่อทางเพศ (เอดส์) ซึ่งทำให้โสเภณีบางส่วนเสียชีวิตหรือย้ายออกไปอยู่ที่อื่น
.
แต่ไม่ว่าอย่างไร เรื่องราวของคังคุไบที่ย่านกามธิปุระก็ยังคงเป็นตำนานไม่อาจลบเลือน ซึ่งได้มีการสร้างรูปปั้นและติดรูปถ่ายของเธอไว้ในย่านกามธิปุระ เพื่อแสดงให้เห็นว่าคังคุไบเธอคือผู้หญิงในตำนานของย่านโสเภณีแห่งนี้


สำหรับฉากย่านกามธิปุระ ในหนังเรื่อง Gangubai Kathiawadi ไม่ได้ถ่ายทำในสถานที่จริง แต่เป็นการสร้างฉาก “ย่านกามธิปุระจำลอง” ขึ้นมา บนพื้นที่กว้างใหญ่โดยมี ซันเจย์ ลีลา ภันสลี ผู้กำกับมากฝีมือลงมาควบคุมการผลิตจัดสร้างฉากจำลองด้วยตัวเอง
.
ย่านกามธิปุระจำลองในหนังคังคุไบ เป็นการพาคนดูย้อนยุคไปในช่วงปี 1950s-1960s กับบรรยากาศของย่านคังคุไบย้อนยุค (ที่หลายสิ่งหลายอย่างของจริงยังคงไม่เปลี่ยนแลงมาจนถึงทุกวันนี้) ซึ่งทางผู้กำกับทำออกมาได้อย่างสมจริงและใส่ใจในทุกรายละเอียดไม่ว่าจะเป็นบรรยากาศตึกเก่า อาคารบ้านเรือน สถานที่ขายบริการ ร้านอาหาร โรงเรียน



รวมไปถึงร้าน “Olympia Coffee House” ร้านอาหารเก่าแก่อายุ 100 กว่าปี ที่ตั้งอยู่ห่างจากย่านกามธิปุระไปประมาณ 6 กม. ถือเป็นร้านอาหารที่เต็มไปด้วยวิถีสีสันของชาวอินเดีย ซึ่งในภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ได้จำลองฉากมาให้ชมกันอย่างเข้าถึงในอารมณ์
.
และนี่ก็คืออีกหนึ่ง Soft Power จากดินแดนภารตะ ที่เปลี่ยนจากหนังอินเดียยุคก่อนที่ร้องเพลงวิ่งข้ามเขาแอบหลังต้นไม้ มาสู่การนำเสนอเรื่องราว การตีแผ่วิถีชีวิตของชาวอินเดีย ผ่านบทหนังชั้นดี ดารานักแสดงมากฝีมือ ภาพ-มุมกล้องชั้นเยี่ยม และฉากสวย ๆ ได้อย่างเข้าถึงในอารมณ์ ซึ่งหลังจากนี้ สถานที่และฉากสำคัญในภาพยนตร์เรื่องนี้น่าจะมีคนออกเที่ยวอินเดียตามรอยหนังคังคุไบกันไม่มากก็น้อย


ที่มา https://mgronline.com/travel/detail/9650000046425?fbclid=IwAR29ln9BMzcU1gC-PmpBDX35wD_aKUZ2X3hYMHmdBU-5vL0NDUmFOWuPMN0 
 

Forest Gump สอนว่าเราควรฟังอะไร? ข้อคิดดี ๆ จากคน IQ75 ที่อดยิ้มไม่ได้เมื่อนึกถึง

Forrest Gump เป็นเรื่องราวของผู้ชายธรรมดาคนหนึ่งชาวรัฐอลาบามา สหรัฐอเมริกา มีไอคิวเพียง 75 เท่านั้น สมมติว่าถ้าให้ความฉลาดทางสติปัญญามีผลต่อการประสบความสำเร็จในชีวิตของคนหนึ่ง น่าสนใจว่า ฟอร์เรสต์ กัมพ์ เขาประสบความสำเร็จในชีวิตหลายเรื่องได้อย่างไรด้วย IQ 75
.
เรื่องนี้การันตีด้วยรางวัลออสการ์ถึง 6 รางวัลเมื่อปี 1995 รางวัลที่เป็นฮีโร่เลยคือ นักแสดงนำชายยอดเยี่ยม ทอม แฮงค์ส เขาได้ถ่ายทอดการเป็นผู้ชายที่มี IQ 75 แต่สามารถประสบความสำเร็จและดำเนินชีวิตในแต่ละช่วงได้อย่างน่าสนใจได้อย่างไร
.
จริง ๆ แล้ว ฟอร์เรสต์ กัมพ์ เขาไม่ได้ดำเนินชีวิตด้วยตัวของเขาเองคนเดียว แต่มีตัวละครในชีวิตของเขาเยอะมาก วันนี้จึงอยากชวนมาถอดบทเรียนจาก Forrest Gump ว่าเราควรฟังอะไรจากคนรอบตัว จาก 5 ข้อนี้


1. ควรฟังคำสอนชีวิตจากคุณพ่อ คุณแม่
มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตอย่างหนึ่งที่ไม่สามารถอยู่ด้วยตัวเองได้ หากไม่มีคนคอยเลี้ยงตั้งแต่เกิด ดังนั้น คุณพ่อ คุณแม่จะเป็นคนที่เห็นคนตั้งแต่วันแรกของการมีชีวิตอยู่บนโลกนี้ เขาเป็นคนที่รักคุณตั้งแต่วันที่เขายังไม่รู้เลยว่าคุณจะให้ประโยชน์อะไรกับเขาได้ เพราะความรักที่เขามีให้คุณไม่มีเงื่อนไขใด ๆ ทั้งสิ้น
.
ดังนั้น คำสอนของคุณแม่ ฟอร์เรสต์ กัมพ์ จะเป็นคนผลิตคำคมของเรื่องเยอะมาก โดยคำหนึ่งที่คนมักจะพูดถึงกันบ่อยมากคือ “ชีวิตมันก็ไม่ต่างอะไรจากกล่องช็อกโกแลตหรอกนะ ลูกไม่มีวันรู้หรอกว่าในกล่องจะได้ช็อกโกแลตอะไรมา”
.
เป็นคำสอนในวันที่ ฟอร์เรสต์ คุยกับแม่ว่า เขากลัวว่าชีวิตในวันข้างหน้าด้วยไอคิวที่น้อยนิดของเขา เขาจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร จริง ๆ แล้วคุณแม่ของฟอร์เรสต์ เป็นคนสอนลูกดี เธอรู้ว่าลูกชายมี IQ แบบนี้ ทักษะในการเรียนรู้อาจจะไม่ซับซ้อน ดังนั้น คนอื่นอาจจะสอนลูกให้เรียนเก่ง แต่สิ่งที่เธอทำคือ สอนเรื่องของการใช้ชีวิตและใช้คำอธิบายที่เข้าใจได้ง่าย พยายามสอดแทรกให้ ฟอร์เรสต์ เห็นภาพ อย่างการสอนเรื่องความไม่แน่นอน คุณแม่ชัดเจนมากที่จะบอกความไม่แน่นอนเปรียบเทียบกับกล่องช็อกโกแลต หากบอกว่า ฟอร์เรสต์ กัมพ์ มี Mindset การมองชีวิตอย่างเรียบง่ายจากใคร นั่นคือพื้นฐานจากคุณแม่นั่นเอง
.
ดังนั้น เวลาคุณมีปัญหาในชีวิต คุณอยากได้คำสอนของชีวิต คุณย้อนกลับไปหาคุณพ่อคุณแม่ของคุณ คนที่รู้ว่าคุณเป็นคนอย่างไรโดยเนื้อแท้ เขาจะให้คำสอนชีวิตจากมุมมองของคนที่เห็นชีวิตคุณตั้งแต่วันแรกที่เกิด


2. ควรฟังคำด่าจากคนที่เกลียดคุณ
อะไรคือ คำด่าจากคนที่เกลียดคุณ? ในเรื่องจริง ๆ แล้ว ฟอร์เรสต์ กัมพ์ ไม่มีคนที่เกลียด แต่มีอยู่ช่วงหนึ่งของชีวิตที่เขาทำเรื่องหนึ่ง แล้วทำให้ตัวละครชื่อว่าผู้หมวดแดนไม่ชอบ เขาจึงตัดสินใจทำบางเรื่องบางอย่างให้กับผู้หมวดแดน แต่ผู้หมวดแดนไม่ต้องการที่จะเลือกเรื่องนี้ ผู้หมวดต่อว่า ฟอร์เรสต์ กระชากลงพื้นว่า “เขาต้องมีชีวิตแบบนี้ก็เพราะแก ฉันไม่ได้เลือกชีวิตแบบนี้”

.
ทั้งหมดนี้ไม่มีคำสอนเลย ทั้งที่เขาเป็นเจ้านายของฟอร์เรสท์ ตอนที่ต้องไปเป็นทหารที่เวียดนาม เจ้านายคนนี้ไม่ได้สอนเลย ด่าสถานเดียว เพราะฟอร์เรสต์ทำเรื่องที่ผิดมหันต์ในความคิดของเขา
.
เมื่อเราเจอคนมาต่อว่า สิ่งที่ควรทำเป็นอย่างแรกคือ ‘ฟัง’ อย่าเพิ่งเถียง เพราะคุณอาจเถียงเขาไม่ทัน เขากำลังโกรธ ให้ฟังและบอกเขาว่า เรากำลังฟังสิ่งที่เขาพูด จากนั้นถามตัวเองว่าสิ่งที่เขาต่อว่ามันจริงไหม ถ้าจริงเป็นโอกาสดีที่เราจะได้ทบทวนว่าเรื่องนี้เป็นสิ่งที่เราจะต้องปรับปรุง แต่ถ้าที่เขาพูดไม่ใช่เรื่องจริง เป็นโอกาสดีที่เราจะได้รู้ว่า ตัวเองสื่อสารอย่างไรถึงทำให้ปลายทางเข้าใจผิดและโกรธเราได้ขนาดนี้
.
สุดท้ายเป็นเรื่องของการได้ฝึกความอดทน เมื่อใดก็ตามที่เราโต้กลับ จะไม่มีอะไรที่เป็นบทเรียนกลับมาได้เลยนอกจากบาดแผลและความเจ็บปวด คุณเลือกได้ว่าเมื่อมีพายุ คุณจะวิ่งเข้าไปหรือหาที่ตั้งหลัก ดังนั้น คุณควรฟังคำต่อว่าจากคนที่เกลียดเราด้วย เพื่อที่จะปรับปรุงตัวเราเองและฝึกความอดทนของตัวเรา


3. ควรฟังเรื่องความฝันจากเพื่อน
มีตัวละครตัวหนึ่งชื่อ บับบ้า เป็นคนที่ฟอร์เรสต์ไปเจอตอนสงครามเวียดนาม เขาเป็นคนที่ใกล้เคียงกับฟอร์เรสต์ มองโลกในแง่ปกติ ไม่คิดร้ายกับใคร วัน ๆ คิดแต่เรื่องตัวเอง ชอบเล่าเรื่องความฝันให้ฟอร์เรสต์ฟัง มีความใฝ่ฝันอยากทำอาชีพประมงจับกุ้ง สิ่งที่ฟอร์เรสต์ทำคือ ‘ฟัง’
.
ความฝันดีอย่างไร? ณ วันที่ฟอร์เรสต์, บับบ้า และผู้หมวดแดน อยู่ที่เวียดนามท่ามกลางสงคราม สิ่งที่ทำให้เขาผ่านแต่ละวันพร้อมตื่นขึ้นมาในวันรุ่งขึ้น คือความหวัง ความฝัน หวังว่าสงครามจะจบ หวังว่าจะได้กลับไปเจอคนที่รัก หรือบับบ้าที่หวังว่าจบสงครามเขาจะทำอาชีพอะไร
.
การฟังความฝันจากเพื่อนนั้นดีอย่างไร? ดีตรงที่เป็นความฝันของคนในวัยใกล้เคียงกัน เราจะมองเห็นว่าฝันนั้นมีความเป็นไปได้ที่จะเป็นจริงได้อย่างไร ต่างจากการไปนั่งฟังความฝันของเด็ก หรือถ้าไปฟังความฝันของผู้บริหารอาจจะฟังดูไกลตัว อาจจะไม่ได้ให้ความรู้สึกอยากจะพัฒนาตัวเองอย่างไร แต่ถ้าคุณฟังความฝันของเพื่อนบางทีคุณอาจจะมีฝันร่วมกัน และช่วยกันนำจุดแข็งของคุณทำให้ความฝันได้เป็นจริงเร็วขึ้น 
.
เพราะฉะนั้น หมั่นฟังความฝันจากเพื่อนเพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้ตัวเองและทำให้ตัวเองรู้ว่ามีเป้าหมายอย่างไร เป้าหมายที่จะเป็นจริงได้ และคุณพัฒนาตัวเองไปได้เรื่อย ๆ


4. ควรฟังเสียงของคนรัก
ฟอร์เรสต์ กัมพ์ มีผู้หญิงคนหนึ่งเรียกว่าเป็นผู้หญิงคนเดียวในชีวิต ชื่อเจนนี่ เป็นเพื่อนตั้งแต่สมัยเด็ก ไม่ว่าเธอจะทำอย่างไรก็ไม่สามารถออกจากชีวิตของเขาได้ เพราะเขารับเจนนี่เข้ามาอยู่ในชีวิตแม้ว่าตัวของเจนนี่จะเดินทางไปยังที่ต่าง ๆ ต้องแยกกัน เขาจะมีเจนนี่อยู่ในใจอยู่ตลอด
.
ฟังเสียงของคนรักดีอย่างไร? ดีตรงที่เมื่อเรารับคนเข้ามาในชีวิต เรารับมา 2 เรื่องคือ ความสุขและความทุกข์ ณ วันที่คุณอยู่ตัวคนเดียวเรื่องที่ทำให้คุณมีความสุขอาจจะเป็นแค่การเล่นดนตรี แต่เมื่อคุณมีคนที่คุณรักแล้วและเขามีความสุขในการดูหนัง คุณจะพบเรื่องที่ทำให้มีความสุขเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งเรื่อง แต่คุณก็รับความทุกข์เขามาด้วย เช่น คุณไม่เคยกลัวสัตว์เลื้อยคลาน แต่คนที่คุณรักกลัว คุณก็ต้องกลัวด้วย คุณไม่เคยกลัวความสูง แต่คุณก็ต้องระวังไม่ให้เขากลัวในสิ่งที่คุณกำลังจะไปทำ
.
เพราะชีวิตมีทั้งด้านความสุขและทุกข์ การที่เราเรียนรู้ว่าจะประคองชีวิตไปโดยที่เลี่ยงเรื่องทุกข์และรับเรื่องสุขมาบ้าง พอมีคนที่เรารักมาด้วยกันทำให้การใช้ชีวิตของคุณชาญฉลาดขึ้น เพราะเมื่อเราคบใครเราก็เหมือนเป็นครอบครัวกับเขา เราครอบครองทั้งทุกข์และสุขเพิ่มมาด้วยกัน หมั่นฟังเสียงของคนที่คุณรัก แล้วชีวิตคุณจะมีสุขที่เยอะขึ้นและมีชีวิตที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น


5. ควรฟังเสียงของตัวคุณเอง
มีฉากที่เป็นเอกลักษณ์ของฟอร์เรสต์ กัมพ์ คือฉากที่ฟอร์เรสต์ออกวิ่ง เพราะความเสียใจจากความรักจนรู้สึกว่าอยู่ตรงนี้ไม่ได้ อยากจะออกไปและวิ่งไปโดยที่ตาลอยไม่มองซ้ายขวา มีคนวิ่งตามเขามามากมายโดยเขาก็ไม่รู้ จนวันที่เขาหยุดวิ่งสายตาของเขาเปลี่ยนไป เริ่มมองลง แล้วหันหลังกลับ คนที่วิ่งตามก็งงว่าทำไมถึงหยุดวิ่ง ฟอร์เรสต์ จึงตอบว่า
.
“ผมเหนื่อยแล้ว”
.
นั่นคือวันที่เขาลาออกจากความเสียใจที่เกิดจากคนอื่น เขาโอบกอดความเจ็บปวดไปกับการวิ่ง จนถึงวันที่เขาได้ยินเสียงของตัวเอง เขาก็เลือกที่จะหยุดแล้วกลับมาใช้ชีวิตตามปกติ


ดังนั้น หมั่นฟังเสียงของตัวเอง บางครั้งเราฟังเสียของคนอื่น เสพโซเชียล ได้ยินคำบ่น ได้เห็นข่าว เห็นดราม่ามากมาย เราฟังคนอื่นเยอะมาก เรารู้เรื่องคนอื่นเยอะจริง ๆ แต่เรารู้เรื่องตัวเราเองมากน้อยแค่ไหน คุณควรฟังเสียงของตัวเองเรื่อย ๆ แล้วตอบตัวเองให้ได้ว่า ณ ตอนนี้ต้องการอะไร จะเป็นการตรวจสอบตัวคุณด้วยว่า ความสุขของคุณอยู่ที่ใดและคุณจะเติมเต็มได้อย่างไร


ที่มา https://creativetalklive.com/forrest-gump/ 
 

บทเรียนจาก The Devil Wears Prada ภาพยนตร์เพื่อ Fashionista มือใหม่

The Devil Wears Prada ภาพยนตร์ที่เข้าฉายตั้งแต่ปี 2006 ที่นอกจากเรื่องแฟชั่นที่มีเสื้อผ้าสวยงามละลานตา The Devil Wears Prada ยังเป็นภาพยนตร์ที่สอดแทรกบทเรียนด้านอาชีพการงานลงไปได้อย่างแยบคายซึ่งหากนับถึงปัจจุบันก็เป็นภาพยนตร์ที่มีอายุเกือบสองทศวรรษแล้วก็ตาม ทว่ากาลเวลากลับไม่สามารถทำให้ความรักที่เหล่า Fashionista มีต่อภาพยนตร์เรื่องนี้เสื่อมคลายลงแต่อย่างใด ชื่อ The Devil Wears Prada ยังคงปรากฏอยู่ในอันดับต้นๆ เสมอทุกครั้งที่มีการกล่าวถึงภาพยนตร์ที่บอกเล่าเรื่องราวในวงการแฟชั่น
.
นอกจากนั้นไม่ใช่เพียงความแซ่บ เผ็ด ร้อน ของเหล่าตัวละคร และเสื้อผ้าที่สวยงามละลานตาเท่านั้น แต่ The Devil Wears Prada ยังเป็นภาพยนตร์ที่สอดแทรกบทเรียนด้านอาชีพการงานลงไปได้อย่างแยบคาย โดยเฉพาะเด็กจบใหม่จากรั้วมหาวิทยาลัยที่น่าจะอินเป็นพิเศษ โดยมี 5 บทเรียนจากภาพยนตร์เรื่อง The Devil Wears Prada ที่ยังคงนำมาปรับใช้กับการทำงานได้ทุกยุคสมัยมาไว้ในบทความนี้แล้ว


1. ไม่ใช่เรื่องแปลกหากต้องเริ่มต้นด้วยงานที่ไม่ชอบ
มหาวิทยาลัยคือสถานที่เพาะบ่มทั้งความรู้ ความฝัน และอุดมการณ์ ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เมื่อบัณฑิตป้ายแดงก้าวพ้นรั้วออกมาจะพุ่งพล่านด้วยความอยากทำงานที่ตัวเองรัก เช่นเดียวกับตัวละคร Andrea Sachs (นำแสดงโดย Anne Hathaway) ที่ใฝ่ฝันอยากทำงานเป็นนักเขียนนิตยสาร ทว่าโชคชะตากลับเล่นตลกให้เธอต้องเริ่มงานแรกด้วยการเป็นผู้ช่วยของ Miranda Priestly (นำแสดงโดย Meryl Streep) หัวเรือใหญ่ของนิตยสารแฟชั่นระดับโลกที่ขึ้นชื่อเรื่องความร้ายกาจอย่างที่สุด
.
เชื่อว่าหลายคนคงเคยผ่านประสบการณ์เดียวกันกับ Andrea ที่งานแรกกลับตรงกันข้ามกับความฝันโดยสิ้นเชิง อย่างไรก็ตามสิ่งนี้ไม่ใช่เรื่องน่าผิดหวังหรือความล้มเหลวในชีวิต เพราะงานที่ไม่ชอบก็มีสิ่งให้เรียนรู้เก็บเกี่ยวเช่นเดียวกัน เชื่อเถอะว่ามันจะมีประโยชน์ไม่ทางตรงก็ทางอ้อมเมื่อจังหวะชีวิตลงตัวให้คุณได้เริ่มต้นทำงานในฝัน
.
2. อย่าตกม้าตาย
ถึงแม้จะไม่ใช่งานในฝันแต่หากคุณตัดสินใจที่จะเข้าสัมภาษณ์แล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็ควรทำมันให้เต็มที่ ความผิดพลาดร้ายแรงที่สุดของอันเดรอาคือการที่เธอแทบไม่มีความรู้ใดๆ เกี่ยวกับนิตยสาร Runway ที่เธอมาสัมภาษณ์เพื่อเข้าทำงานเลย ดังนั้นบทเรียนที่ได้จากเรื่องนี้คืออย่าเอา Andrea เป็นเยี่ยงอย่างเด็ดขาด (เพราะไม่ใช่ทุกคนที่จะโชคดีเหมือนเธอ และโลกความจริงโหดร้ายกว่าในภาพยนตร์เสมอ) ยิ่งศึกษาหาข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทที่ไปสัมภาษณ์เท่าไรก็ยิ่งเป็นประโยชน์เท่านั้น
.
3. เป็นเจ้านายไม่ใช่ว่าจะทำอะไรก็ได้
บทเรียนนี้สำหรับคนที่เป็นเจ้านายหรืออยู่ในสถานะเจ้าของบริษัทโดยเฉพาะ เช่นเดียวกับตัวละคร Miranda ใน The Devil Wears Prada ที่ปฏิเสธไม่ได้ว่าด้วยความเก่งกาจของเธอปลุกปั้นจนนิตยสาร Runway กลายเป็นนิตยสารแถวหน้าระดับโลก เธอจึงคิดว่าความคิดของเธอถูกต้องที่สุด ทุกคนต้องฟังและปฏิบัติตาม ยิ่งไปกว่านั้น Miranda ยังคิดว่าตำแหน่งของ Andrea เป็นตำแหน่งที่ผู้หญิงทั้งโลกยอมฆ่ากันเพื่อให้ได้มาทำงาน ดังนั้นเธอจะทำอะไรกับ Andrea ก็ได้ หากอีกฝ่ายไม่พอใจเธอก็แค่หาคนใหม่ที่ง่ายราวกระดิกนิ้ว
.
ในบริบทปี 2006 พฤติกรรมของ Miranda อาจจะยังเป็นที่ยอมรับได้อยู่บ้าง แต่ในปัจจุบันมุมมองของสังคมต่อสิ่งนี้กลับต่างไปโดยสิ้นเชิง คนที่ต้องปรับเปลี่ยนคือ Miranda ไม่ใช่ Andrea เพราะต่อให้เป็นเจ้านายก็ไม่ใช่ว่าจะสามารถสั่งการอย่างไรก็ได้ แต่ต้องคำนึงถึงสิทธิของลูกจ้างด้วย


4. ความมั่นใจคือกุญแจสำคัญ
หากพุ่งเป้าพิจารณาไปที่ตัวละคร Miranda และตั้งประเด็นถามว่าอะไรคือปัจจัยที่ทำให้เธอก้าวขึ้นสู่ความสำเร็จในวงการแฟชั่นอันโหดร้าย กุญแจสำคัญเห็นจะเป็น ‘ความมั่นใจ’ ไม่ใช่เรื่องแปลกที่เธอจะมั่นใจในความคิดตัวเองเป็นอย่างมาก เพราะด้วยความคิดที่เด็ดเดี่ยวเช่นนี้แหละถึงทำให้เธอประสบความสำเร็จดั่งเช่นทุกวันนี้ อย่างไรก็ตามดีกรีความมั่นใจของ Miranda ทะลุปรอทไปเสียหน่อย จนทำให้บรรยากาศการทำงานร่วมกับคนรอบข้างไม่ดีเอาเสียเลย ดังนั้นความมั่นใจคือสิ่งสำคัญ แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องใส่ใจความรู้สึกของผู้อื่นด้วยเช่นกัน
.
5. การสร้างพันธมิตรในที่ทำงานเป็นสิ่งสำคัญ
แม้ว่าในช่วงแรกที่ Andrea เข้ามาทำงานในนิตยสาร Runway เธอจะไม่ประสบความสำเร็จในการผูกมิตรกับ Nigel (นำแสดงโดย Stanley Tucci) เท่าไรนัก ทว่าเมื่อเวลาผ่านไปทุกอย่างก็เป็นไปในทางที่ดีขึ้น ผลลัพธ์ที่คาดไม่ถึงคือ Nigel มีความสนิทสนมกับ Miranda ดังนั้น Andrea จึงได้เรียนรู้ตัวตนเจ้านายจอมโหดของเธอไปในตัว ก่อนที่เธอจะใช้มันให้เป็นประโยชน์และปรับปรุงสิ่งต่างๆ เพื่อให้ Miranda ประทับใจได้อย่างตรงจุด


ที่มา https://www.vogue.co.th/lifestyle/article/devil-wears-prada 
 

แรคเก็ตเทนนิส อาวุธของ King Richard พระราชาแห่งอาณาจักรวิลเลียมส์

จากการประกาศรางวัล Oscar ที่เพิ่งผ่านมา โดยผู้ที่ได้รับรางวัลแสดงนำชายยอดเยี่ยมคือ Will Smith (ถ้าไม่มองเหตุการณ์ก่อนหน้าขึ้นรับรางวัลของเขา) จากภาพยนตร์เรื่อง “King Richard” โดยเขารับบทเป็น ริชาร์ด วิลเลียมส์ คุณพ่อที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของสองลูกสาว วีนัส (Venus) และเซเรนา วิลเลียมส์ (Serena Williams) แชมป์เปียนและซูเปอร์สตาร์ในวงการเทนนิสโลก ความเป็นมาเป็นไปของริชาร์ด ไม่ธรรมดา จัดจ้านมากพอสำหรับการนำมาปั้นเป็นภาพยนตร์ เพราะเขาไม่ใช่นักกีฬาระดับท็อปอะไรของโลก แต่กลายเป็นคุณพ่อของนักกีฬาระดับโลกถึง 2 รายได้ซะอย่างนั้น และหนังก็เอาการที่ริชาร์ดจัดการกับสิ่งต่างๆ เพื่อทำให้ครอบครัวหลุดพ้นจากการใช้ชีวิตกระเบียดกระเสียรในคอมป์ตัน, แคลิฟอร์เนีย ด้วยการเดิมพันทุกอย่างไปกับอนาคตของลูกสาว 2 คน ปั้นพวกเธอให้เป็นนักกีฬาเทนนิสผู้เก่งกาจ ที่นอกจากความอุตสาหะทั้งหลาย บางสิ่งบางอย่างก็เป็นเรื่องของจังหวะ เวลา โอกาส และแน่นอนความมหัศจรรย์ 


เมื่อ 27 ปีที่แล้ว ณ ห้องสัมภาษณ์แห่งหนึ่ง ซึ่งในห้องนั้นจอห์น แม็คเคนซี ผู้สื่อข่าวกีฬาจากสำนักข่าว ABC News กำลังนั่งสัมภาษณ์ วีนัส วิลเลียมส์ หนูน้อยในวัย 14 ปีเกี่ยวกับความฝันในการเป็นนักเทนนิสของเธอ “หนูคิดว่าหนูจะชนะคู่แข่งได้? หนูพูดดูง่ายจัง ทำไมหนูถึงคิดแบบนั้น?” ไม่ว่าแม็คเคนซีจะถามสักกี่ครั้ง ทุกครั้งวีนัสก็ตอบเหมือนเดิมด้วยรอยยิ้มและคำตอบว่า “หนูมั่นใจ” เพียงแต่ความจริงแล้วมันก็ไม่ได้เหมือนเดิมทุกครั้งหรอกเพราะยิ่งถูกถามย้ำมากเท่าไหร่แววตาและน้ำเสียงของเธอก็ยิ่งแสดงความไม่มั่นใจขึ้นทุกที

จนกระทั่งถึงจุดที่ไม่อาจทนไหว ริชาร์ด วิลเลียมส์ก็โผล่เข้ามากลางวงก่อนที่จะสั่งให้แม็คเคนซีหยุดพยายามหยุดที่จะทำลายความมั่นใจลูกสาวของเขาด้วยคำถามแบบนี้ “คุณต้องเข้าใจก่อนนะว่านี่คุณกำลังรับมือกับภาพลักษณ์ของเด็กหญิงอายุแค่ 14 ปี คุณกำลังรับมือกับเด็กผิวดำตัวเล็กๆ คนนึง ปล่อยให้เธอได้เป็นเด็ก เธอได้ตอบคำถามคุณแล้วด้วยความมั่นใจอย่างมากด้วย ก็ให้เป็นไปตามนั้น”

การเข้ามาแทรกกลางวงสัมภาษณ์ของริชาร์ดนั้นเป็นภาพที่ไม่ได้พบเห็นบ่อยนัก และด้วยกริยาก้าวร้าวจนชวนให้เกิดความรู้สึกว่าบางทีในระหว่างที่เขาพยายามปกป้องลูกสาวการแสดงออกของเขาก็ดูจะล้ำเส้นของนักสัมภาษณ์อย่างแม็คเคนซีเช่นกัน แต่สำหรับตัวเขาเองแล้ว ริชาร์ดรู้ดีว่าเขาทำอะไรอยู่และบนโลกใบนี้ในเวลานั้นไม่มีอะไรที่เขาต้องการมากกว่าที่จะปกป้องลูกสาวของเขาทั้งสอง วีนัส และเซรีนาให้รักษาความมั่นใจและความเป็นตัวของตัวเองไว้

เพราะเขารู้ว่าบนโลกใบนี้นั้นการดำรงอยู่ของพวกเธอนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะในวงการเทนนิสซึ่งมิใช่พื้นที่สำหรับคนผิวดำหากแต่เป็นพื้นที่และกีฬาของคนผิวขาว การที่พวกเธอจะก้าวขึ้นมาอยู่แถวหน้าได้นั้นแน่นอนมันต้องฟันฝ่าอะไรอีกมากมายหลายสิ่ง สิ่งที่จะทำให้พวกเธออยู่รอดได้มีเพียงหัวใจที่เข้มแข็งเท่านั้นและสำหรับริชาร์ดเขามีแผนที่จะให้ลูกสาวทั้งสองนั้นครองโลกเทนนิสตั้งแต่ก่อนที่พวกเธอจะถือกำเนิดขึ้นด้วยซ้ำไป


ในหนังสือ 2014 Memoir, Black and White ผลงานของเขาเองริชาร์ดได้เล่าว่า “แผนของผมนั้นเรียบง่ายมาก คือการนำเด็กสองคนให้ออกจากสลัม (ghetto) แล้วก้าวมายืนอยู่แถวหน้าของกีฬาที่คนขาวครองวงการอยู่” เพื่อที่จะทำให้ได้ตามนั้นริชาร์ดได้มีการร่างแผนการเอาไว้อย่างละเอียด ทั้งหมดมีความยาว 75 หน้า (บ้างก็ว่า 85 หน้า) โดยในแผนนั้นไม่ได้เขียนสิ่งที่ต้องทำเฉพาะแค่ลูกสาวของเขาที่กำลังจะถือกำเนิด แต่ยังรวมถึงสิ่งที่ตัวเขาและออราซีน ภรรยาของเขาต้องทำ จะไปที่ไหนอย่างไร เดินทางอย่างไร

ที่น่าเหลือเชื่อคือแผนการนี้มีการตระเตรียมไว้ 2 ปีครึ่งก่อนที่วีนัสและเซรีนาจะเกิด และเรื่องนี้เป็น Fact ไม่ใช่ Fiction แรงบันดาลใจของริชาร์ดนั้นเกิดจากการที่เขาได้ดูการแข่งขันของเวอร์จิเนีย รูซิซี นักเทนนิสหญิงชาวโรมาเนียทางโทรทัศน์และได้ทราบตัวเลขรายได้เงินรางวัลจากการแข่งขันของเธอ ทำให้อยากให้ลูกสาวได้มีชีวิตที่ดีไม่ต้องอยู่ในแหล่งเสื่อมโทรมเหมือนตัวเขา

ส่วนเรื่องผลพลอยได้ของการที่วีนัส และเซรีนา ก้าวขึ้นมาเป็นนักเทนนิสขวัญใจมหาชนกลายเป็นแรงบันดาลใจของคนผิวดำให้พยายามเดินตามกันมานั้นไม่มีใครตอบได้ว่าริชาร์ดคิดแบบนั้นจริงตามที่มีการอ้างถึงในภาพยนตร์ King Richard หรือไม่ อย่างไรก็ดีเพื่อจะไปให้ถึงเป้าหมายทั้งๆที่แทบไม่มีความพร้อมใดๆ ริชาร์ดก็ต้องทำในหลายสิ่งที่ดูสุดโต่งอย่างมากในสายตาของผู้ที่พบเห็น


ตั้งแต่การจับลูกฝึกซ้อมเทนนิสที่สนามคอมป์ตันคอร์ตทั้งช่วงก่อนและหลังเลิกเรียน ฝนตกแดดออกก็ต้องเล่น จับให้นั่งศึกษาดูการแข่งขันเป็นประจำ และที่หนักข้อหน่อยคือการพยายามบากหน้าไปขอโค้ชหลายๆคนให้สอนลูกสาวให้แบบฟรี ๆ เรื่องนี้ทำเอาเพื่อนบ้านถึงกับทนไม่ไหวต้องเรียกเจ้าหน้าที่พิทักษ์เด็กมาให้ความช่วยเหลือ เพราะเกรงว่ามันคือการทารุณกรรมเด็ก เพียงแต่คุณพ่อจอมเข้มยืนกรานว่าเขาไม่ได้ทำอะไรที่ผิดหรือเกินเลย สิ่งที่เขาทำคือการพยายามให้ลูกของเขาอยู่ในร่องในรอยเท่านั้น เพราะสังคมแวดล้อมนั้นมันอันตราย การก้าวผิดแค่นิดเดียวอาจหมายถึงชีวิตที่พลิกผันได้เลยทีเดียวและในระหว่างการพายเรือส่งลูกสาวเพื่อไปให้ถึงฝั่งนั้น เขาเองก็เจอพายุชีวิตหลายครั้ง บางครั้งเจ็บตัว และมีครั้งนึงที่เจ็บใจจนคิดจะจบเรื่องให้มันพ้นๆไป เพียงแต่โชคดีที่คู่กรณีนั้นถูกยิงตายไปก่อนที่เขาจะทำด้วยตัวเอง


ดังนั้นถึงริชาร์ดจะเป็นพ่อที่เคี่ยวกรำ เข้มงวด จอมบงการ และดูไม่ประนีประนอมแค่ไหน แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการพยายามที่จะมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้แก่ลูกเท่าที่เขาจะมีสติปัญญาและความสามารถจะทำให้ได้ (ริชาร์ดสอนลูกตีเทนนิสเองทั้งๆ ที่ตัวเขาก็ไม่ใช่นักเทนนิสและโค้ชทุกคนก็บอกว่าเขาสอนผิดวิธีด้วยซ้ำไป)

มันอาจจะไม่ได้สวยหรูดูดีเหมือนในนิยาย หลายครั้งสิ่งที่เขาทำก็สามารถตีความได้หลากหลายจะขาวก็ไม่ใช่จะดำก็ไม่เชิง และไม่ใช่ทุกคนที่จะรักริชาร์ด วิลเลียมส์ เช่นเดียวกันกับที่ทุกคนจะรักวีนัส และเซรีนา วิลเลียมส์ ที่ได้รับการปลูกถ่ายเมล็ดพันธุ์ของนักสู้ผู้เข้มแข็งและพร้อมทำทุกอย่างเพื่อชัยชนะเหมือนพ่อ 

ใครจะรู้สึกอย่างไรกับเขา เขาไม่สนและไม่คิดจะเก็บมาใส่ใจ ใครอยากจะจดจำเขาอย่างไร แง่ไหน ก็แล้วแต่
“ถ้าให้เลือกระหว่างการมีลูกที่เรารักและรักเรากับเงิน มันเป็นการเลือกที่ง่ายมาก และผมพบว่าสำหรับผมมันยิ่งง่ายขึ้นไปอีกกับการยอมรับลูกๆของผมบนคอร์ต” สิ่งที่ริชาร์ดบันทึกไว้เกี่ยวกับการที่เขาคิดว่าความเป็นอยู่ที่ดีของลูกนั้นสำคัญกว่าเรื่องของความสำเร็จเสมอ


“ผมไม่เคยเป็นซูเปอร์โค้ช แต่ผมมั่นใจว่าผมเป็น และผมหวังว่าผมได้เป็นแล้วคือการเป็น Super parent” 
และนี่คือเรื่องราวที่ถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์เรื่อง "King Richard" พระราชาแห่งอาณาจักรวิลเลียมส์ ที่ปัจจุบันไม่ได้เป็นพ่ออย่างเดียวแล้ว แต่เป็นคุณตาผู้น่ารักในวัย 80 ปีสำหรับหลานสาวผู้น่ารัก โอลิมเปีย โอฮาเนียนด้วย ลงอไปติดตามกันในโรงภาพยนตร์กันได้นะ (แต่ไม่แน่ใจว่าโรงไหนบ้างคงต้องลองค้นหากันดู) 


ที่มา https://www.facebook.com/Sockrrr/posts/3105683232979119 
 

รวม 6 หนังตัวตลก แต่ขวัญผวากันไปข้าง!!

ตัวตลกในความเข้าใจของคนเราก็จะต้องเป็นเรื่องที่สนุก ขำ เห็นแล้วมีความสุข แต่วันนี้ THE STUDY TIMES รวบรวมหนังตัวตลก ที่จะลบความสุข มีแต่ความขวัญผวา มาให้ทุกคนได้ดู ตัวตลก ที่ไม่ตลก~

1.) IT อิท โผล่จากนรก

เวอร์ชันเก่าหรือเวอร์ชันใหม่ ก็ไม่ได้ลดความน่ากลัวลงได้เลย ภาพยนตร์เรื่องนี้มีด้วยกัน 2 ภาค ซึ่งเรื่องนี้มีทั้งฉากระทึก ตื่นเต้น น่ากลัว และสยดสยอง ขนลุกสุดๆ แต่ภาคในปี 2017 เล่าเรื่องถึงเด็กที่หายตัวไปอย่างลึกลับ และทำให้เด็กๆ อีก 7 คนเริ่มออกตามหา จึงเกิดเรื่องราวสุดสยองขวัญขึ้น และจะสามารถช่วยกันแก้ไขปริศนานี้ได้หรือไม่ ลองไปหาดูกันได้ หลอนจริงๆ

2.) Clown

เรื่องนี้เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ชวนขวัญผวาไปหลายวัน จู่ๆ คนๆ นึงใส่ชุดตัวตลก แล้วกลายเป็นปีศาจ เริ่มด้วยชายคนหนึ่งเป็นคนที่ทุ่มเทความรักให้กับครอบครัวและเป็นสามีและพ่อที่ดี เมื่อถึงวันเกิดของลูกชาย เขารอเซอร์ไพรส์ลูกชาย แต่ตัวตลกที่จ้างไว้กลับไม่มาตามนัด และมันไม่เป็นไปตามแผน เขาจึงตัดสินใจใส่ชุดตัวตลกที่อยู่ในห้องใต้ดิน และมันไม่ยอมปล่อยให้เขาเป็นอิสระ เขาเลยกลายเป็นตัวตลกบ้าคลั่ง ไปหาคำตอบพร้อมกันในหนัง

3.) All Hallow’s Eve

หนังเรื่องนี้สำหรับคนที่อยากได้อรรถรสแบบครบเครื่อง ทั้งเลือดสาด หลอน น่ากลัว ตื่นเต้น แนวผี ปีศาจและฆาตกรรม เรื่องนี้แนะนำเลย เรื่องนี้เกิดขึ้นในวันฮาโลวีน พี่เลี้ยงสาวดูแลเด็กสองคนเพียงลำพัง แต่เธอได้รับวิดีโอม้วนหนึ่ง เป็นวิดีโอเกี่ยวกับหนังสยองขวัญ 3 เรื่องรวดในม้วนเดียวและทุกเรื่องจะปรากฏภาพของชายคนหนึ่ง เมื่อดูจบแล้วเกิดเรื่องราวสยองจริงๆ รอพวกเธออยู่ จะเป็นอย่างไรไปหาดูกันต่อเลย

4.) Amusement

เรื่องนี้มีความตื่นเต้นและน่าสะพรึงกลัว ตัวหนังแบ่งออกเป็น 3 ตอน นำไปสู่บทสรุปแห่งความสยองที่เหนือการคาดเดา ขบวนคาราวานแปรเปลี่ยนเป็นการนองเลือด มีปราสาทหลังใหญ่กับคนที่หายไปอย่างลึกลับและแขกที่ไม่ได้รับเชิญในบ้าน ว่ากันว่าความหลอนของตัวตลกจะโผล่มาในเรื่องที่ 2 ซึ่งเป็นความสยองขวัญที่เกิดขึ้นภายในบ้าน จากแขกที่ไม่ได้รับเชิญและหุ่นตัวตลก เรื่องนี้ลุ้นระทึก หายใจแทบไม่เป็นจังหวะ แนะนำให้ไปดู

5.) Clownhouse

เรื่องนี้จะทำให้หลอนตัวตลกไปอีกนาน ไม่ได้พูดถึงผีหรือปีศาจ แต่ด้วยการกระทำของตัวละครที่แต่งเป็นตัวตลกสยองจนหายใจหายคอไม่ออก เป็นเรื่องราวของสามพี่น้องตัวป่วนที่ชอบเรื่องความสยองขวัญเป็นชีวิตจิตใจ จนวันนึงฆาตกรโหดโรคจิตทั้งสามคนได้หนีออกจากโรงพยาบาลบ้า แล้วผ่านไปฆ่าตัวตลกในคณะละครสัตว์ จากนั้นพวกเขาก็สวมรอยเป็นตัวตลก และไล่ฆ่าคนในหมู่บ้านแทน เรื่องนี้มีความบ้าคลั่งของสามตัวละครและน่ากลัวมาก จนทำให้เราลืมความสนุกสนานของตัวตลกที่คุ้นเคยไปเลย ดูแล้วขนลุกสุด

6.) Poltergeist

หนังเรื่องนี้มีตุ๊กตาตัวตลกเป็นตัวเดินเรื่อง เล่าถึงครอบครัวนึงที่ย้ายไปอยู่หมู่บ้านแถบชานเมือง พวกเขาพบว่าบ้านหลังใหม่ที่พวกเขาอาศัยอยู่มีบางอย่างที่แปลกประหลาดที่ไม่สามารถคาดเดาได้ จนเหตุการณ์เริ่มเลวร้ายขึ้นทุกที เมื่อวิญญาณที่น่ากลัวภายในบ้านเริ่มตามหลอกหลอนพวกเขามากขึ้นเรื่อยๆ หนึ่งในความน่ากลัวนั้นมาจากตุ๊กตาตัวตลกตัวนึง ที่แม้จะดูน่ารักแต่มันกลับเป็นที่สิงสถิตของวิญญาณอาฆาต หนังเรื่องนี้เป็นหนังสยองขวัญที่โด่งดังจนต้องมีภาคต่อของความสยอง ใครที่อยากรู้ว่าเรื่องราวจะเป็นยังไงต่อ แนะนำลองไปหาดูกันได้เลย สนุกและขนลุกมาก!

แนะนำ 5 การ์ตูนน่าอ่านแนวแอ็กชัน บู๊ มันส์ ครบรส! สายนักอ่านการ์ตูน พลาดไม่ได้!!

1.) Solo Leveling 

ดำเนินเรื่องโดยตัวเอก จินวู เด็กหนุ่มเป็นฮันเตอร์ ระดับปลายแถว rank E เป็นฮันเตอร์ที่อ่อนแอที่สุด ที่เข้ามาเป็นฮันเตอร์เพราะอยากจะได้เงินเยอะๆ เพื่อที่จะเอามารักษาแม่ที่ป่วย และเลี้ยงดูน้องสาว อยู่มาวันหนึ่งได้มีเหตุการณ์เกิดขึ้นจนทำให้ชีวิตของ จินวู เปลี่ยนไปตลอดกาล!!! 100/10 ไปเลยจ้า เรื่องนี้ใครสนใจหาอ่านได้ที่ Kakao Webtoon

2.) Ranker Who Lives A Second Time (เกมชีวิตที่สอง ของแรงเกอร์)

เรื่องนี้สนุกสุดมันส์ไปเลย เริ่มเรื่องมาที่ ยอนอู มีพี่ชายฝาแฝดที่หายตัวไปเมื่อ 5 ปีก่อน อยู่มาวันหนึ่ง ยอนอูได้เจอนาฬิกาพกพาที่พี่ชายทิ้งไว้ให้ พร้อมทั้งมีข้อความข้างใน หลังจากฟังข้อความข้างในแล้ว ยอนอูได้ตัดสินใจที่จะไปตามหาคนที่ฆ่าพี่ชายของตัวเอง!! ติดตามต่อได้ที่ Kakao Webtoon

3.) Reincarnation of the Suicidal Battle God (เกิดใหม่นักรบพันธุ์ระห่ำ)

เริ่มเรื่องมาที่ เซเฟอร์ มนุษย์ที่แข็งแกร่งที่สุด ได้รับโอกาสจากเหล่าทวยเทพทั้งหลายให้ย้อนเวลากลับไปเมื่อ 10 ปีก่อน เพื่อที่จะกำจัดปีศาจ ส่วนเหล่าเทพพระเจ้าเห็นเป็นเพียงเรื่องสนุกเท่านั้น เซเฟอร์ จึงต้องทำทุกวิถีทางเพื่อที่จะกำจัดปีศาจให้ได้ในชาตินี้! เรื่องนี้พระเอกฉลาดสุดๆ อ่านแล้วไม่ผิดหวังแน่นอนค่ะ ติดตามได้ที่ WEBTOON

4.) Mercenary Enrollment (พี่ชายสายบอดี้การ์ด)

ยู อีจิน เด็กหนุ่มที่รอดตายจากอุบัติเหตุเครื่องบินตกและได้ใช้ชีวิตเป็นทหารรับจ้าง เพื่อที่จะเอาชีวิตรอด 10 ปีหลังจากนั้น ยู อีจินได้กลับมาหาครอบครัวอีกครั้ง เมื่อยู อีจินรู้ว่าน้องสาวของเขาโดนแกล้งก็ถึงเวลาที่เขาจะเอาคืนให้สาสม! สนุกมันส์เดือดไปเลย ติดตามกันได้ที่ WEBTOON

5.) Nano Machine (นาโนมาชิน)

เรื่องราวของ ชอนยออุน ลูกนอกสมรสภายในพรรคมาร ที่โดนดูถูกและกลั่นแกล้งจากพรรคอื่นๆ หลังจากนั้นก็มีลูกหลานจากอนาคตมาช่วยไว้ และฉีดสารอะไรสักอย่างที่มีระบบช่วยให้แข็งแกร่งเข้าร่างกาย ตั้งแต่นั้นมา ชอนยออุน ก็เริ่มที่จะฝึกวิชาและใช้พลังภายในได้! สนุกมากแม่ เดือดๆ กันไปเลย อ่านต่อได้ที่ WEBTOON

แนะนำ 5 การ์ตูนแนวโรแมนติกคอมเมดี้ พาฟินไปตามๆ กัน

วันนี้ THE STUDY TIMES จะมาแนะนำ 5 การ์ตูนแนวโรแมนติกคอมเมดี้ ที่จะทำให้เพื่อนๆ ฟินไปตามๆ กัน นึกแล้วก็อยากดูอีกหลายๆ รอบ มาเริ่มกันเลยค่ะ

1.) Horimiya

อนิเมะแนวโรแมนติกคอมเมดี้สุด Feel Good ที่ดูแล้วฟินกับความน่ารักของเรื่องนี้ไปได้เรื่อยๆ โดยมีเรื่องราวเกี่ยวกับสาวน้อยผู้มีความมั่นใจและร่าเริงสดใส แต่มีเบื้องหลังแสนลำบากที่ต้องคอยดูน้องชายและทำงานบ้านด้วยตัวเองทั้งหมด จนวันหนึ่งเธอได้ไปรู้จักกับหนุ่มแว่นสุดเนิร์ดและเงียบขรึม ที่พอออกนอกโรงเรียนจะเปลี่ยนโฉมกลายเป็นหนุ่มเท่มีสไตล์ แถมยังป๊อบสุดๆ เริ่มเรื่องมาก็น่าติดตามแล้วค่ะเพื่อนๆ

2.) Koi to Yobu ni wa Kimochi Warui

เป็นเรื่องราวของพนักงานบริษัทหนุ่มสุดหล่อผู้มีนิสัยเสียที่จีบผู้หญิงไปทั่ว จนได้มาพบกับนักเรียนสาวมัธยมที่ช่วยเหลือเขาไว้จากการตกบันได เขาคิดจะตอบแทนเธอด้วยการพาไปออกเดต แต่อีกฝ่ายกลับปฏิเสธและมีท่าทีรังเกียจเขา แบบที่เขาไม่เคยได้รับจากหญิงสาวคนใดมาก่อน กลับกลายเป็นว่าเขายิ่งสนใจเธอและพยายามจะทำให้สาวน้อยคนนี้หันมาหลงรักเขาให้ได้ มาเอาใจช่วยพ่อหนุ่มนักรักกันค่ะ

3.) Gekkan Shojo Nozaki-kun 

ว่าด้วยเรื่องราวของสาวน้อยนักเรียนไฮสคูลคนหนึ่งที่ไปตกหลุมรักเพื่อนหนุ่มผู้เงียบขรึมในห้องเดียวกัน เมื่อเธอตัดสินใจรวบรวมความกล้าทั้งหมดสารภาพรักกับเขา กลับกลายเป็นว่าอีกฝ่ายเข้าใจผิดว่าเธอต้องการจะมาเป็นแฟนคลับเขาซะอีก ! เธอจึงต้องพยายามทุกวิถีทางเพื่อให้ทำให้หนุ่มที่ตนแอบรักหายเข้าใจผิดให้ได้ เรื่องนี้น่ารักปนคอมเมดี้สุดๆ ค่ะ

5 ซีรีส์แนวสืบสวน อาชญากรรม ที่ห้ามพลาด !!

หลาย ๆ คนช่วงเทศกาลปีใหม่อาจจะไม่ได้ออกไปไหน THE STUDY TIMES ขอแนะนำซีรีส์ไว้ดูช่วงวันหยุดยาวแบบจัดหนักจัดเต็ม เข้าถึงรสชาติของหนังอาชญากรรมจุกๆ กันไปเลยค่ะ 

1.) Bad Guys 
เป็นซีรีส์สอบสวนของเกาหลี เป็นเรื่องที่ใครชอบแนวนี้ห้ามพลาดเด็ดขาด โดยเนื้อเรื่อง เป็นการนำเอา นักโทษ นักฆ่า โรคจิต และตำรวจหัวรุนแรงที่มีปมในใจ มาร่วมกัน ทำงานให้ตำรวจ โดยการใช้พวกเขาตามหาตัวคนร้ายในคดีต่างๆ ที่ตำรวจไม่สามารถตามจับได้ และให้รางวัลพวกเขาโดยการลดโทษจำคุกสำหรับใครที่จับคนร้ายได้ เป็นเรื่องที่ลุ้นตามจนหัวใจเต้นแรง สนุกสุดๆ 

2.) Sherlock 
เป็นเรื่องราวของ “ เชอร์ล็อค โฮมส์ “
นักสืบที่ปรึกษา ที่เก่งในด้านการไขคดีต่างๆ ในลอนดอน การสืบสวนที่เก่งของโฮมส์ ในตอนแรกก็ให้ทางตำรวจไม่ค่อยชอบสักเท่าไหร่ 

แต่สติปัญญาประกอบกับความสามารถในการสังเกตและใช้เหตุผลในการสืบคดีของโฮมส์ ก็ทำให้ทุกคนยอมรับในตัวโฮมส์ ทำให้โฮมส์กลายเป็นคนดังและมีทั้งคนทั่วไป รัฐบาล มาขอให้ช่วยในการสืบคดีต่างๆ 

3.) Narcos
เป็นซีรีส์เล่าเรื่องของตำรวจที่ต้องการจับตัวคนร้านค้ายาเสพติด “ พาโบล เอสโคบาร์ “  เป็นพ่อค้าโคเคนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโคลอมเบียและของโลกเลยก็ว่าได้ อีกสมัยนั้นพาโบลรวยเป็นอันดับ 7 ของโลก และทำให้พาโบล เป็นที่ต้องการตัวอย่างมาก 

แต่ด้วยความรวยและฉลาดของพาโบลก็มีวิธีหนีรอดและหาทางจัดการเงินจำนวนมหาศาล จากการที่ค้ายาเสพติดนั้นได้ และเนื้อเรื่องจะแสดงถึงวิธีต่างๆทั้งหมดที่พาโบลใช้ ทำให้ตัวเองรอด รวมทั้งการลงการเมืองที่ใช้เงินจากการค้ายาเสพติดเข้าช่วยเหลือชาวบ้าน 

 


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STUDY TIMES
Take Me Top