Monday, 4 December 2023
TRENDING

นักสตัฟฟ์สัตว์ ผู้ปลุกซาก ให้มีชีวิต

เปิดใจ "วันชัย สุขเกษม" นักสตัฟฟ์สัตว์ พิพิธภัณฑ์ธรรมชาติวิทยา อพวช.ผู้ทำหน้าที่ชุบชีวิตสัตว์ที่ตายไปแล้วให้กลับมาเหมือนมีชีวิตอีกครั้ง แต่ละขั้นตอนไม่ง่าย แต่สร้างความภูมิใจ เพราะช่วยให้เยาวชน และบุคคลทั่วไปได้ใกล้ชิดกับธรรมชาติ พร้อมสตัฟฟ์ "มาเรียม"
.
พะยูนมาเรียม ขวัญใจคนไทยที่แม้ว่าจะเพิ่งตายไป แต่ก็มีแนวคิดที่จะสตัฟฟ์มาเรียมเพื่อให้เป็นที่ระลึก และเพื่อเป็นการเรียนรู้และปลูกฝังแนวคิดการอนุรักษ์ธรรมชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการลดการทิ้งขยะพลาสติก ลงสู่ทะเลที่กลายเป็นอีกสาเหตุที่คร่าชีวิตมาเรียม
.
จากการสัมภาษณ์ คุณวันชัย สุขเกษม นักสตัฟฟ์สัตว์ ของพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติวิทยา องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.) ซึ่งเป็นหนึ่งในทีมที่จะทำหน้าที่สตัฟฟ์มาเรียม บอกเล่าถึงวิธีการสตัฟฟ์สัตว์และเสน่ห์ที่ทำให้เขาทำหน้าที่ชุบชีวิตสัตว์ที่ตายแล้วกลับมาเหมือนมีชีวิตอีกครั้ง
.
จุดเริ่มต้นเมื่อปี 2554 คุณพิชัย สนแจ้ง อดีตผู้อำนวยการองค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ ได้เชิญผู้เชี่ยวชาญจากประเทศฟินแลนด์มาอบรมการสตัฟฟ์สัตว์ให้กับเจ้าหน้าที่ โดยตนเองเริ่มต้นจากศูนย์ เพราะไม่เคยสตัฟฟ์สัตว์มาก่อน จากนั้นก็เริ่มมีความสนใจ เพราะงานสตัฟฟ์สัตว์มีประโยชน์ต่อบุคคลทั่วไป โดยใช้เผยแพร่ และให้ความรู้กับเยาวชนและบุคคลทั่วไป และสัตว์ที่สตัฟฟ์เสร็จแล้วก็จะกลายเป็นสมบัติของชาติ และใช้ในเรื่องของการศึกษาวิจัยในเรื่องต่าง ๆ ได้
.
โดยคุณวันชัยเล่าเพิ่มเติมว่า ก่อนหน้านี้ได้ผ่านการสตัฟฟ์สัตว์มาแล้วหลายชนิดทั้ง เสือ ยีราฟ ช้าง ม้าลาย สัตว์ขนาดใหญ่ไปจนถึงสัตว์ขนาดเล็กเช่นนก ก็ได้ผ่านการสตัฟฟ์มาหมดแล้ว ซึ่งสัตว์แต่ละตัวก็มีความยาก-ง่ายแตกต่างกัน เช่น นกจะค่อนข้างง่ายเพราะสารเคมีที่ใช้ก็ไม่ค่อยยุ่งยาก โดยขั้นตอนคือการเลาะเนื้อ เก็บหนังและขนเอาไว้จากนั้นปั้นหุ้นขึ้นมา ขณะที่หนังรักษาสภาพโดยใช้แอลกอฮอล์และป้องกันแมลงโดยแช่สารเคมีประมาณ 45 นาที จากนั้นขึ้นตัวซึ่งหากเป็นนกตัวเล็กก็ทิ้งไว้ประมาณ 7 วัน นกก็จะแห้งสนิทสามารถนำมาจัดแสดงได้
.
แต่ถ้าหากเป็นสัตว์ขนาดใหญ่ เช่นกวาง ก็จะมีกระบวนการฟอกหนัง ซึ่งเป็นการรักษาสภาพหนังเพื่อป้องกันไม่ให้เน่า ซึ่งค่อนข้างดีกว่าในอดีตที่เราใช้ฟอร์มาลีน การฟอกหนังจะดีเรื่องการขจัดคราบไขมันที่อยู่ในขน และขนจะสมบูรณ์มาก
.
การสตัฟฟ์ขึ้นท่าทางจะใช้วิธีการปั้น ไม่ใช้วิธีการยัดนุ่น ยัดสำลี เหมือนแต่ก่อน โดยปั้นเป็นท่าทาง กล้ามเนื้อ ซึ่งค่อนข้างที่จะได้สัตว์ที่มีสรีระวิทยา ท่วงท่าที่เหมือนกับธรรมชาติมากที่สุด ตาก็จะใช้ตาที่เหมือนจริง โดยจะสั่งซื้อจากต่างประเทศเพราะในประเทศไทยยังไม่มี แต่ในบางกรณีที่ในต่างประเทศไม่มีก็จะต้องทำตาขึ้นมาเอง โดยใช้เรซิ่นเพนต์สีขึ้นมา เช่นดวงตาของปลาพระอาทิตย์ (Sunfish)
.
คุณวันชัยเล่าเพิ่มเติมว่า เสน่ห์ของการสตัฟฟ์สัตว์ก็คือ เหมือนกับการได้ชุบชีวิตสัตว์ตัวหนึ่งที่ตายไปแล้ว หรือดูเหมือนไม่มีประโยชน์แล้วให้กลับมาเหมือนมีชีวิตอีกครั้ง และเราได้กลายเป็นคนที่ทำให้หลายคนได้ใกล้ชิดสัตว์ ซึ่งหลายคนอาจไม่มีโอกาสได้เห็นสัตว์บางชนิดในระยะใกล้ๆ
.
เขายังอธิบายว่า ขั้นตอนและระยะเวลาในการสตัฟฟ์สัตว์ยังแตกต่างกันโดยหากเป็นการสตัฟฟ์นกจะใช้เวลาประมาณ 1 วัน ต่อนก 1 ตัว โดยการสตัฟฟ์นกจะต้องระวังในขั้นตอนของการเลาะเนื้อ หากเลาะไม่ดีเนื้อก็จะขาด ก็จะเสียเวลาในการซ่อมหนังหรือเย็บหนัง และเมื่อเสร็จเป็นตัวแล้วที่ยากสุดคือการจัดขนให้เข้าที่ ถ้าขนอยู่ผิดตำแหน่งก็จะไม่สวยเหมือนกับธรรมชาติ
.
ขณะที่สัตว์ขนาดใหญ่ เช่นก่อนหน้านี้ทีมงานได้ทำเสือ 2 ตัว ในท่าทางต่อสู้กัน ยีราฟ นกแร้ง โดยมีการสตัฟฟ์เสือใช้เวลากว่า 2 เดือน ในการทำเสือ 1 ตัว ซึ่งใช้เวลาในการปั้นหุ่นประมาณ 1 สัปดาห์ ถอดพิมพ์ ทำพิมพ์ ทำเป็นหุ่นโฟม ขัดพิมพ์ บางครั้งก็เจออุปสรรคเช่น เมื่อถอดพิมพ์แล้วพิมพ์มีขนาดใหญ่ ก็ต้องมาปรับขนาดหุ่น แก้หุ่น กว่าจะได้แต่ละตัวจึงค่อนข้างใช้เวลานาน
.
ขณะที่การสตัฟฟ์ช้างจะค่อนข้างพิเศษ โดยจะไม่ใช้ดินเหนียวปั้นแต่จะขึ้นโครงจากปูนปลาสเตอร์เลย โดยปั้นปูนสดให้ขึ้นมาเป็นรูปช้างเลย โดยใช้งานด้านช่างไม้มาช่วยในการทำด้วย
.
ทั้งนี้ ในแต่ละวันจะเริ่มทำงานตั้งแต่เวลาประมาณ 09.00 – 17.00 น. ซึ่งการทำสัตว์สตัฟฟ์ เช่นนกควรทำให้เสร็จภายใน 1 วัน หากเกิน 1 วันก็จะไม่ดี หากเป็นนกขนาดใหญ่ซึ่งไม่มีสถานที่เก็บก็ต้องเร่งทำ โดยแบ่งเวลาในแต่ละขั้นตอนให้เหมาะสมในแต่ละวัน เช่น ใช้เวลาเลาะหนังและวัดขนาด 1 วัน จากนั้นอีก 1 วันจะเป็นการปั้นหุ่น และเก็บเศษเนื้อที่อยู่กับหนัง วันที่ 3 จะเป็นวันที่เริ่มปั้นหุ่นและใส่หุ่น และวันที่ 4 เย็บ และวันที่ 5 อาจจะเย็บต่อและจัดขน และปล่อยทิ้งไว้ให้แห้ง
.
กระบวนการเก็บรักษาสัตว์หลังจากที่ตายแล้วมีความสำคัญมาก เช่น นก เมื่อนกตายและจะเก็บต้องรู้ว่านกตัวนั้นไม่เป็นโรคที่ติดต่อสู่คน จากนั้นเก็บนกใส่ถุงพลาสติกให้มิดชิด อย่าให้อากาศเข้าเก็บไว้ในตู้แช่แข็งอุณหภูมิลบ 18 องศาเซลเซียส
.
ขณะที่สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดเล็กหรือขนาดกลาง ใช้วิธีการคล้ายกันคือใส่ถุงพลาสติกมัดให้แน่น แช่ที่อุณหภูมิลบ 18 องศาเซลเซียส ซึ่งอุณหภูมิลบ 18 องศาเซลเซียสจะช่วยฆ่าเชื้อโรคโดยเฉพาะโรคพิษสุนัขบ้า เพื่อลดความเสี่ยงของคนทำ


ที่มา https://news.thaipbs.or.th/content/283179 
 

ฟุตบอลเกิดขึ้นอย่างไร? ใครเป็นผู้ค้นคิด? มารู้กันเถอะ

แม้จะมีหลักฐานระบุชัดว่า มีการเล่นกีฬาในลักษณะเดียวกันกับฟุตบอลในหลายมุมโลก แต่ก็ถือได้ว่าอังกฤษเป็นบ่อเกิดกีฬาฟุตบอล ในแง่พัฒนาการต่อเนื่อง และจัดวางกฎเกณฑ์ให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน กีฬาโบราณที่พอจะอ้างเป็นบรรพบุรุษของฟุตบอลได้ก็คือ ฟุตบอลในโชรฟทิวสเดย์ ซึ่งเป็นการแข่งขันของคนทั้งหมู่บ้าน ใช้กติกาท้องถิ่น ผู้ร่วมแข่งขันอาจได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิตได้ ฟุตบอลโบราณที่ยังเหลือเค้ามาถึงปัจจุบัน พบเห็นได้ในเมืองแอชเบิร์น มณฑลดาร์บีเชียร์ อาจเรียกได้ว่าเป็นรุ่นโบราณที่สุดที่บันทึกเป็นหลักฐาน
.
เพราะเริ่มแข่งขันมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 13 โดยมีกองทหารโรมันเป็นผู้นำมาเผยแผ่บนเกาะอังกฤษ ร่องรอยที่หลงเหลือมาจนถึงการเล่นฟุตบอลในปัจจุบันที่เล่นบนเกาะอังกฤษหรืออิตาลี อาจไม่ได้เน้นที่การใช้เท้า (ผู้เล่นอาจคว้าลูกขึ้นมาครองก็ได้) หากแต่เป็นการต่อสู้ขับเคี่ยวปกป้องรักษาแดนของตน และเคลื่อนย้ายลูกให้เข้าไปในประตูฝ่ายตรงข้าม ซึ่งในสมัยโบราณหลักประตูอาจเป็นเพียงเขตปักปันระยะห่างกันนับร้อยหลา กีฬาฟุตบอลโบราณทางตะวันออกไกลเน้นที่การใช้เท้าเล่นลูก แต่เป็นการเดาะลูกเสียมากกว่า [ตะกร้อ] ฟุตบอลโบราณในอังกฤษถือเป็นกีฬาระบายความก้าวร้าวที่กักเก็บกดไว้ในใจ
.
ช่วงนั้นการยอมรับในวงกว้างยังไม่ราบรื่น แต่ก็แหวกพ้นจากการจำกัดแต่เฉพาะในวันก่อนถือศีล ในปี 1314 กษัตริย์เอ็ดเวิร์ดที่ 2 มีพระราชโองการสั่งห้ามเล่นฟุตบอลในท้องถนนของมหานคร ผู้ฝ่าฝืนมีโทษจำคุก กษัตริย์ริชาร์ดที่ 2 ทายาทผู้สืบบัลลังก์ก็มีพระราชโองการในทำนองเดียวกัน เนื่องจากห่วงใยว่าผู้คนในแผ่นดินจะทอดทิ้งการฝึกปรือฝีมือการยิงธนู
.
ในสกอตแลนด์ก็มีคำสั่งห้ามในลักษณะเดียวกันนี้ ผู้รักษากฎหมายขับไล่ผู้เล่นออกจากท้องถนน ซึ่งถือเป็นสังเวียนที่หล่อหลอมยอดนักเตะหลายต่อหลายคน ในยุคถัดมา รถยนต์ที่แล่นขวักไขว่บนท้องถนนเป็นกรรมการชี้ขาด ห้ามผู้เล่นได้ชะงัดกว่ามือกฎหมาย
.
ในปี 1581 ริชาร์ด มัลคาสเตอร์ ให้ความเห็นในอีกทางว่า “กีฬาฟุตบอลช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อทั่วเรือนร่าง และเป็นเวชบำบัด ในการขับก้อนนิ่วออกจากกระเพาะปัสสาวะและไตได้อย่างชะงัด” (ไม่มีหลักฐานยืนยันว่า กีฬาฟุตบอลในปัจจุบันจะให้ผลในทางการแพทย์เช่นนี้) ในปี 1583 นักเขียนผู้หนึ่งกล่าวถึงกีฬาฟุตบอลในมิติที่เกี่ยวกับ “ฆาตกรรม การทำร้ายร่างกาย และการหลั่งเลือกโลมดิน”
.
พระราชโองการสั่งห้ามการเล่นฟุตบอลถูกยกเลิกไปในศตวรรษที่ 17 ทั้งกษัตริย์เจมส์ที่ 1 และชาร์ลสที่ 2 โปรดทอดพระเนตรกีฬาฟุตบอล กีฬาฟุตบอลได้รับความนิยมแพร่หลาย เห็นได้ชัดจากการนำเอาคำว่า “ฟุตบอล” ไปพ่วงกับกีฬาหลายประเภท
.
แม้จะมีจุดกำเนิดยอดนิยมจากหลายทาง แต่ทว่ากติกากีฬาฟุตบอลในยุคปัจจุบันกลับถือกำเนิดจากฟุตบอลโรงเรียน ซึ่งจำเป็นต้องวางกฎเกณฑ์ให้สอดคล้องกันในการแข่งขันระดับโรงเรียนและมหาวิทยาลัย จนเกิดเป็น “กติกาเคมบริดจ์” ในปี 1848 ได้นำไปปรับใช้ในสโมสรสุภาพบุรุษในลอนดอน และสโมสรในระดับมณฑล จนกลายเป็นกติกา “เชฟฟิลด์” สโมสรฟุตบอลแห่งแรกในเส้นทางคู่ขนานกีฬาฟุตบอลของชนชั้นกลาง ซึ่งได้รับความนิยมแพร่หลายทางตอนเหนือก็ต้องวางกติกาให้เป็นที่ยอมรับนับถือทั่วกัน เมื่อรวมกติกา 2 ประเภทเข้าด้วยกัน ก็กลายมาเป็นรากฐานของการเล่นฟุตบอลในยุคปัจจุบัน
.
ในปี 1871 มีการก่อตั้งสหภาพรักบี้ ซึ่งเป็นการแยกการเล่นใช้เท้ากับมือให้แตกต่างกัน เป็นกีฬา 2 ประเภทที่อยู่ในปัจจุบัน
.
ช่วง 3 ทศวรรษหลังของศตวรรษที่ 19 เป็นช่วงแห่งการปรับเปลี่ยนกติกาที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน มีการก่อตั้งสมาคมฟุตบอล ฟุตบอลลีก แชลเลนจ์คัพ และสถาบันอื่นๆ สโมสรจากท้องถิ่นที่มีชื่อคุ้นหูเข้ามาสังกัดสมาคมฟุตบอล เช่น แอสตัน วิลลา, แบล็กเบิร์น โรเวอร์, น็อตต์เคาน์ตี้ และเชฟฟิลด์เวนสเดย์
.
ขณะเดียวกันนั้นวิศวกรชาวอังกฤษ ผู้ประกอบการอิสระ และทหารที่ไปประจำการในต่างแดน ก็นำการเล่นที่มีกติกาวางไว้แน่ชัดแล้วไปเผยแพร่ ปูพื้นฐานวางรากฐานที่จะนำไปสู่การแข่งขันระดับนานาชาติ กีฬาฟุตบอลก็เป็นที่ยอมรับกันทั่วโลกเมื่อได้รับการบรรจุให้แข่งขันในกีฬาโอลิมปิกปี 1908 และยืนยันความนิยมได้อีกหลายเท่าทวีคูณด้วยการจัดการแข่งขันฟุตบอลโลก
.
ในศตวรรษนี้ การปรับเปลี่ยนกติกาการแข่งขันถือได้ว่ามีน้อยมาก ซึ่งก็สอดคล้องไปกับจุดโดดเด่นของกีฬาฟุตบอลที่ไม่มีกติกาหยุมหยิม ปล่อยให้เกมดำเนินต่อเนื่องไปตั้งแต่ต้นจนจบ เปิดโอกาสให้ผู้เล่นได้แสดงศิลปะในการเล่นออกมาเต็มที่
.
อย่างไรก็ตาม แก่นแท้ของกีฬาฟุตบอล ไม่ว่าจะเป็นลักษณะของสถาบัน หรือสถานะของผู้ร่วมกิจกรรมนี้ ทุกฝ่ายถูกเปลี่ยนโฉมแปลงรูปลักษณ์ด้วยข้อกำหนดเดียวคือเงินตรา ซึ่งจะเห็นได้ชัดในทศวรรษท้ายสุดในอังกฤษและระดับโลก ไม่ว่าจะเป็นการเข้าครอบครองกิจการสโมสร การให้เงินสนับสนุนมหาศาลจากผู้ผลิตสินค้า การทุ่มเงินซื้อตัวนักเตะมาสังกัดทีม  และการฉ้อราษฎร์บังหลวงในวงการฟุตบอลที่ปรากฏบนหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์ ล้วนแล้วแต่มีส่วนเปลี่ยนภาพลักษณ์ของกีฬาฟุตบอลทั้งสิ้น
.
เค้าเดิมของการตะลุมบอนดุเดือดถึงเลือดถึงเนื้อในฟุตบอลโชรฟทิวสเดย์ในยุคกลาง หรือการสวมกางเกงยืดรัดรูปของนักเตะจากคอรินเธียนไม่เหลงเหลืออยู่เลย เมื่อเปรียบเทียบกับเกมการแข่งขันใต้ไฟสนามจัดจ้า เสื้อผ้าที่สวมใส่มีตราสินค้าเบียดตราสโมสรให้เหลือเพียงเล็กจิ๋ว ควบคุมกำกับโดยกรรมการที่ควักใบเหลืองใบแดงออกมาแจกเป็นจักรผัน มีผู้ชมป่าเถื่อนรุมล้อมอยู่ข้างสนามดุร้ายถึงขั้นที่ต้องกั้นรั้วเหล็กแน่นหนา ยืนแออัดยัดเยียดในกล่องที่นั่งของบุคคลระดับบริหารและกล้องโทรทัศน์ถ่ายทอดสด
.
วิวัฒนาการปรับเปลี่ยนจนไม่เหลือเค้าหน้าเดิม แต่ในแก่นแท้แล้วก็ยังเป็นสัตว์กีฬาตัวเก่า ประจุด้วยเลือดเนื้อ และวิญญาณที่ไม่เคยเปลี่ยน ผู้ที่มองโลกในแง่ร้ายและนักอนุรักษ์ขนบธรรมเนียมประเพณีควรจะรับฟังคำสะกิดเตือนใจว่า ในขณะนี้ มีผู้นิยมเล่นฟุตบอลและมีแฟนฟุตบอลเพิ่มมากมายมหาศาลเกมเช้าวันเสาร์ก็ยังรุ่งเรืองไม่เสื่อมคลาย… และในฟุตบอลอาชีพ เด็กฝึกงานก็ยังทำทำหน้าที่ขัดรองเท้าเหมือนครั้งอดีตกาล


ที่มา https://www.silpa-mag.com/history/article_43806 
 

“ผัดกะเพรา” อาหารบัญญัติใหม่ ยุคจอมพล ป.พิบูลสงคราม

ผัดกะเพรา – เคยสงสัยกันหรือไม่? ว่า ผัดกะเพรา เมนูยอดฮิตที่หลายคนแอบเรียกว่าเมนูสิ้นคิดบ้าง เมนูกันตายบ้างนั้น ใครเป็นคนต้นคิด? แล้วมีที่มาที่ไปอย่างไร? ใช่สูตรที่เราทำกินกันทุกวันนี้ไหม? วันนี้เราจะไปหาคำตอบกัน
.
มีผู้ใช้นาม เสือตะหลิว สมาชิกเว็บไซต์ดังอย่างพันทิป ได้ตั้งกระทู้แชร์เรื่องราวน่าสนใจ เกี่ยวกับ ผัดกะเพรา พร้อมวิธีทำผัดกะเพราสูตรดั้งเดิมเอาไว้
.
โดยโพสต์บอกเล่าเรื่องราวอิงประวัติศาสตร์ได้อย่างน่าสนใจไว้ว่า จากสยามสู่ไทย…ปฏิวัติหัวใจสู่ไทยยุคใหม่ “ผัดกะเพราเนื้อ สูตร จอมพล ป.พิบูลสงคราม”
.
เสือตะหลิวเชื่อว่าคนไทยทั้ง 70 ล้านคน ล้วนต้องรู้จักและเคยลิ้มลองเมนู “ผัดกะเพรา” กันอย่างแน่นอน และคนไทยส่วนใหญ่มักคิดเสมอว่า เมนู “ผัดกะเพรา” นั้น เป็นเมนูที่มีมาตั้งแต่สมัยโบราณกาล ย้อนหลังไปได้หลายร้อยหลายพันปี
.
แต่ในความเป็นจริงแล้ว รู้หรือไม่ว่า เมนู “ผัดกะเพรา” นั้น เป็นเมนูที่เพิ่งจะถูกคิดค้นมาในช่วงประมาณ พ.ศ. 2490 สมัยของจอมพลรัฐบุรุษชื่อดังผู้หนึ่งที่คนไทยส่วนใหญ่ล้วนรู้จักกันดี ซึ่งผู้นั้นก็คือ จอมพล ป.พิบูลสงคราม
.
ช่วงสมัยนั้น จอมพล ป.พิบูลสงคราม ได้ออกนโยบายในเรื่องของการปฏิวัติวัฒนธรรม ท่านได้ทำการปฏิวัติวัฒนธรรมในประเทศครั้งใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการแต่งกาย การใช้ชีวิต หรือแม้กระทั่งอาหารการกิน
.
และในสมัยนั้นเอง ได้มีการจัดงานประกวดอาหารและขนมประจำชาติขึ้น แน่นอนว่าอันดับหนึ่งก็คือ “ผัดไทย” แต่เมนู “ผัดกะเพรา” เองก็ตามมาติดๆ ต่อมาหลังจากจบงานประกวด เหล่าบรรดาอาหารและขนมที่ได้รางวัล ก็มีการปรับปรุงสูตรโดยจอมพล ป.พิบูลสงคราม เพื่อให้เข้ากับความเป็นไทยมากขึ้น
.
แต่ถึงแม้จะขึ้นชื่อว่า “ผัดกะเพรา” แต่เมนู “ผัดกะเพรา” สูตรของ จอมพล ป.พิบูลสงคราม ในยุคเริ่มแรกนั้น กลับมีความแตกต่างไปจาก “ผัดกะเพรา” ในยุคปัจจุบัน แตกต่างอย่างไร ใครสงสัย เรามาดูคำตอบกันเลยดีกว่า
.
ก่อนอื่นเรามาทอดใบกะเพรากันก่อนนะครับ เอาใบกะเพรามาทอดในน้ำมันท่วมๆ ไฟปานกลาง พอใบกะเพราหายฟู่น้ำมัน ก็ตักออกมาพักสะเด็ดน้ำมันเอาไว้ก่อน แต่อันนี้ไม่จำเป็นต้องทำก็ได้นะครับ แต่ถ้าอยากทำใบกะเพรากรอบกับน้ำมันกะเพราก่อนก็ทำได้ครับ 
.
น้ำมันอันเดิมเลยครับ ไหนๆ จะทำผัดกะเพรา เอาไข่ดาวมาเสริมบารมีสักฟอง ตอกไข่ใส่กระทะน้ำมันท่วมๆ ลงทอด ใครชอบสุกระดับไหนก็ตามใจเลยครับ
.
น้ำมันอันเดิมเลยครับ กะให้เหลือประมาณ 3-4 ช้อนโต๊ะ ตั้งกระทะไฟปานกลาง ใส่กระเทียมสับ 3-4 ช้อนโต๊ะ พริกขี้หนูแดงสับ 3-4 ช้อนโต๊ะ พริกขี้หนูเขียวสับ 3-4 ช้อนโต๊ะ น้ำพริกเผา 3-4 ช้อนชา แล้วผัดให้ส่วนผสมทั้งหมดเข้ากันเลยนะครับ
.
ผัดกะเพราสูตรแรกเริ่มของ จอมพล ป.พิบูลสงคราม จะมีการแอบใส่น้ำพริกเผาลงไปเล็กน้อย เพื่อสร้างรสชาติแฝง แต่ถ้าหากไม่มีน้ำพริกเผาก็ใส่น้ำพริกแกงเผ็ดแทนก็ได้ครับ 
.
เสร็จแล้วก็ใส่เนื้อวัวบดลงไปต่อได้เลยครับ เสือตะหลิวใช้เนื้อวัวบดประมาณครึ่งกิโล หรือ 5 ขีด ผัดให้เข้ากันจนเนื้อเกือบสุก ทีนี้ถึงคราวปรุงรสแล้ว
.
ผัดกะเพราสูตรของ จอมพล ป.พิบูลสงคราม จะปรุงรสเค็มด้วย เต้าเจี้ยว และ ปรุงรสหวานด้วย น้ำตาลปี๊บ โดยใส่เต้าเจี้ยว ประมาณ 3-4 ช้อนโต๊ะ เติมน้ำตาลปี๊บ ประมาณ 3-4 ช้อนชา อาจจะใส่มากใส่น้อยกว่านี้ได้ แต่ให้ลองค่อยๆ ใส่ค่อยๆ ชิมไปจนได้รสที่ต้องการ
.
มันอาจจะดูแปลกๆ สำหรับยุคปัจจุบันที่นิยมใส่น้ำปลาและไม่นิยมเติมน้ำตาล แต่สำหรับ “ผัดกะเพรา” ในยุคแรกของ จอมพล ป.พิบูลสงคราม นั้น ผัดกะเพราจะใส่เต้าเจี้ยวกับน้ำตาลปี๊บ สาเหตุก็เพราะ ท่านจอมพล ป.พิบูลสงคราม อิงสูตร “ผัดกะเพรา” ของท่านมาจากเมนู “เนื้อผัดเต้าซี่” หรือ “เนื้อผัดเต้าเจี้ยว” แต่เนื่องด้วยในสมัยนั้น เต้าเจี้ยวหรือเต้าซี่ เป็นเครื่องปรุงที่หายากในครัวเรือนไทย ชาวไทยส่วนใหญ่จึงมักใช้น้ำปลาในการปรุงรสแทนนั่นเอง
.
นอกจากนี้ จอมพล ป.พิบูลสงคราม เป็นคนชอบทานอาหารรสหวาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งรสหวานจากน้ำตาลมะพร้าว ท่านจึงใส่น้ำตาลปี๊บลงไปใน “ผัดกะเพรา” สูตรของท่าน สูตรของท่านจึงมีรสหวานอย่างไรล่ะ
.
หลังจากปรุงรสเสร็จก็ผัดไปเรื่อยๆ จนเนื้อเข้ากันดี ต้องผัดจนกว่าเนื้อจะเริ่มแห้งนะครับ เอาให้น้ำของเนื้อไม่ไหลออกมา คล้ายๆ กับการคั่วโดยหลังจากที่คั่วเสร็จก็โรยใบกะเพราลงไปประมาณ 3 กำมือ จากนั้นจึงปิดไฟแล้วคลุกให้เข้ากันเร็วๆ ไปเลย
.
เรียบร้อยแล้ว สำหรับ “ผัดกะเพราเนื้อ สูตร จอมพล ป.พิบูลสงคราม” รสชาติ ผัดกะเพรา สูตร จอมพล ป.พิบูลสงคราม จะมีรสเค็มๆ มันๆ มากกว่าผัดกะเพราแบบปกติ เพราะใช้เต้าเจี้ยวในการปรุงรส
.
อีกทั้งยังมีกลิ่นหอมและรสชาติจากน้ำพริกเผาแอบแฝงอยู่ ช่วยเพิ่มอรรถรสในการรับประทาน รวมถึงยังมีความหวานอันเป็นเอกลักษณ์ของน้ำตาลปี๊บที่ช่วยสร้างสรรค์รสชาติอันหลากหลายให้กับเมนูอาหารบ้านๆ จานนี้ให้พิเศษยิ่งๆ ขึ้นไปอีก
.
ผัดกะเพรา ไม่ว่าจะยังไงก็จะขาดข้าวสวยร้อนๆ ไปไม่ได้โดยเด็ดขาด หุงเสร็จใหม่ๆ ตักใส่จานรอได้เลย ข้าวสวยหุงสุกใหม่ๆ ร้อนๆ เนื้อนุ่มหนึบๆ ตักข้าวใส่จาน แล้วก็อย่าเพิ่งลืมไข่ดาวที่ทอดเตรียมไว้ เอาไข่ดาวไปวางโปะบนข้าว ไข่แดงลาวาเยิ้มๆ กับไข่ขาววุ้นลื่นๆ การผสมผสานที่เรียบง่ายลงตัว
.
เมนู “ผัดกะเพรา สูตร จอมพล ป.พิบูลสงคราม” คือเมนูผัดกะเพราในยุคแรกเริ่มปฏิวัติวัฒนธรรม เป็นหนึ่งในจุดเริ่มต้นสู่การเปลี่ยนแปลงจากสยามไปเป็นไทย นำมาซึ่งการพัฒนาประเทศจนนำมาสู่ความเจริญของประเทศไทยยุคใหม่
.
“เพราะอาหารคือเรื่องของปากท้อง และปากท้องคือเรื่องของประเทศชาติ…เหล่าผู้นำทั้งหลายจึงควรคิดถึงเรื่องปากท้องของคนในชาติเป็นสำคัญ เพราะถ้าหากปากท้องของคนในชาติไม่มีปัญหา ความเจริญของประเทศชาติก็ย่อมจะเดินหน้าไปได้อย่างดี”


ที่มา https://www.sentangsedtee.com/exclusive/article_128674 
 

“เทศกาลกินเจ” ของลูกหลานชาวจีน ที่คนจีนไม่ได้กิน ?

เข้าถึงช่วง เทศกาลกินเจ เราจะทราบกันดีว่างานในไทยนี่จะคึกคักครื้นเครงกันมาก โดยเฉพาะตามที่อยู่ของลูกหลานชาวจีนอย่าง เยาวราช ที่จะเห็นธงสีเหลือง ตัวอักษรสีแดงประดับกันทั่วทั้งแถบ แต่สิ่งที่หลายๆ คนสงสัยก็คือ แล้ว งานกินเจในประเทศจีน เองล่ะ หน้าตาแตกต่างจากของเรามากไหม? จัดกันยิ่งใหญ่อลังการ มีการแห่ขบวนคนทรงอย่างเราหรือเปล่า ?
.
สรุปสั้นๆ ตรงนี้ก่อนว่า "ไม่มี" ครับ ถ้าคุณไปเที่ยวจีน ฮ่องกง ไต้หวัน แล้วคิดว่าจะพบกับธงสีเหลืองประดับประดาทั่วไปอย่างไทยนั้น คงต้องผิดหวังแน่ ๆ ถามคนที่นั่นหลายๆ คนยังงงด้วยซ้ำว่ามันคือเทศกาลอะไร ? 
.
อ้าว !!! ไหนบอกว่าเป็นเทศกาลของลูกหลานชาวจีนไง ใช่ครับ ที่มาของเทศกาลนี้ก็มาจากชาวจีนจริงๆ เพียงแต่ว่าเขาไม่ได้ทำกันอย่างแพร่หลาย หรือเป็นเทศกาลใหญ่ที่มีประเพณีร่วมกันทั่วโลกเหมือนอย่างวันตรุษจีน เอาเป็นว่าก่อนจะทำความรู้จักจุดเริ่มต้นของเทศกาลกินเจในไทย เรามาทำความเข้าใจเรื่องราวในเมืองจีนกันให้มากขึ้นก่อนดีกว่าครับ
.
ประเทศจีนเป็นประเทศที่มีอาณาบริเวณกว้างใหญ่ไพศาลมาก แค่ข้ามจากมณฑลหนึ่งไปอีกมณฑลหนึ่งก็แทบจะเหมือนคนละประเทศกันแล้ว ไม่ว่าจะภาษา วัฒนธรรม ความเชื่อต่างๆ ที่ถ้าไปถามคนจีนเองยังงง เช่น ไปถามคนจีนทางเหนือเรื่องติ่มซำ เขาก็จะไม่รู้จัก (จุดกำเนิดอยู่แถวฮ่องกง กวางตุ้ง) ไปถามเรื่องคนจีนไม่กินเนื้อเพราะนับถือเจ้าแม่กวนอิมไหม ? เขาก็งง เพราะที่นั่นกินกันเป็นล่ำเป็นสันมาก
.
ในทำนองเดียวกัน การกินเจนั้นเป็นเรื่องเฉพาะถิ่น ไม่ได้ทำกันทั่วทั้งประเทศ คนจีนที่กินเจส่วนใหญ่เป็นชาวจีนฮกเกี้ยน และแต้จิ๋ว อยู่ในมณฑลฟูเจี้ยน ซึ่งชาวจีนในละแวกนี้ก็มักอพยพย้ายถิ่นฐานมาอาศัยอยู่ในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น มาเลเซีย สิงคโปร์ และภาคใต้ของประเทศไทย ซึ่งเค้าจะไม่เรียกว่าเทศกาลกินเจ แต่จะเรียกว่า เทศกาลเฉลิมฉลองของพระราชาธิราชทั้ง 9 (Nine Emperor Gods Festival) หรือ 九皇大帝 ในประเทศจีนเองแม้จะพอมีอยู่บ้างแต่ก็หายากมากๆ แล้ว เป็นประเพณีแบบลัทธิเต๋ารวม 9 วัน กำหนดเอาวันตามจันทรคติ คือ เริ่มต้นตั้งแต่วันขึ้น 1 ค่ำ ถึง ขึ้น 9 ค่ำ เดือน 9 ตามปฏิทินจีนของทุกปี
.
ต่อมาเมื่อพระพุทธศาสนาเผยแผ่เข้าสู่เมืองจีน จึงปรากฏตำนานความเชื่อที่ผูกโยงกับพระพุทธเจ้า 7 พระองค์และพระโพธิสัตว์อีก 2 พระองค์ เรียกว่า กิ้วอ้วงฮุกโจ้ว ในภาษาจีนแต้จิ๋ว และกินเจกันเพื่อสักการบูชาทั้ง 9 พระองค์นี้
.
อีกเรื่องเล่าหนึ่ง การกินเจในช่วงวันขึ้น 1 ค่ำเดือน 1 ถึงขึ้น 9 ค่ำเดือน 9 (ตามปฏิทินจันทรคติ) นั้น วัตถุประสงค์เดิม ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการถือศีลตามหลักคำสอนทางศาสนา แต่เพื่อรำลึกถึงวีรบุรุษที่ลุกขึ้นมาโค่นล้มราชวงศ์ชิง และกอบกู้ราชวงศ์หมิง เมี่อประมาณสองสามร้อยปีก่อน หลังจากที่ชาวแมนจูยึดครองราชวงศ์หมิง และสถาปนาราชวงศ์ชิง ชาวฮั่นซึ่งเป็นลูกหลานราชวงศ์หมิงยังมีใจคิดก่อการกบฏเพื่อฟื้นฟูอำนาจทางการเมืองของราชวงศ์หมิงให้กลับคืนมา แต่ก็ไม่สำเร็จ เพราะถูกทางการปราบปรามด้วยมาตรการอย่างเหี้ยมโหดเด็ดขาด จึงมีผู้พลีชีพไปกับการในครั้งนั้นจำนวนไม่น้อย การกินเจจึงเป็นการรำลึกถึงวีรบุรุษเหล่านี้
.
เมื่อชาวจีนอพยพมาถึงแถบนี้ (ปีนัง ภูเก็ต) ก็นำเอาเทศกาลกินเจติดมาด้วย โดยมีการผสมผสานหลอมรวมเข้ากับรูปแบบความเชื่อของท้องถิ่น กลายมาเป็นเทศกาลกินเจแบบเฉพาะของลูกหลานชาวจีนในประเทศไทย สำหรับในประเทศจีนนั้นเทศกาลนี้กลับหายไป เนื่องจากการเปลี่ยนผ่านการปกครองสู่คอมมิวนิสต์ รัฐบาลได้ทำลายหนังสือเรียน และเกือบทุกอย่างที่เกี่ยวกับพิธีกรรมทางศาสนา จนค่อยๆ เลือนหายไปจากจีนแผ่นดินใหญ่ในที่สุด
.
ทางด้านชาวจีนฮกเกี้ยนโพ้นทะเลในสิงคโปร์ ฮ่องกง ก็ถูกปกครองโดยอังกฤษมาก่อน ประเพณีเก่าแก่จึงหายไป เป็นสังคมแบบสมัยใหม่มากขึ้น ส่วนในมาเลเซีย อินโดนีเซีย ก็เป็นประเทศที่ส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิม จึงไม่แปลกที่จะไม่ได้จัดเทศกาลกินเจกัน ดังนั้นมันจึงรุ่งเรือง และปฏิบัติสืบต่อกันมามากที่สุดในประเทศไทย นั่นเองครับ
.
เมื่อมาถึงเมืองไทยแล้ว ศูนย์กลางของงานที่ยิ่งใหญ่ และชาวต่างชาติรู้จักมากที่สุด นอกเหนือจากถนนเยาวราชแล้ว เห็นจะเป็นประเพณีถือศีลกินผัก หรือ เจี๊ยะฉ่าย ที่จังหวัดภูเก็ตนั่นเองครับ ใน พ.ศ.2368 มีบันทึกทางประวัติศาสตร์ว่า พระยาถลาง ได้ย้ายเมืองมาตั้งที่บ้านเก็ตโฮ่ ซึ่งอุดมไปด้วยแร่ดีบุก แต่ตอนนั้นยังเป็นป่าทึบ ชุมชุกด้วยไข้มาเลเรีย ต่อมามีคณะงิ้วปั่วฮี่ จากเมืองจีนมาเปิดการแสดง ชาวคณะได้เกิดล้มป่วยลง คณะงิ้วจึงได้ประกอบพิธีกินผักขึ้น เพื่อบวงสรวงเทพเจ้า ‘กิ๋วฮ๋องไต่เต่’ และ ‘ยกอ๋องซ่งเต่’ การณ์ปรากฏว่า โรคภัยไข้เจ็บได้หายไปหมดสิ้น จากนั้นมา ชาวกะทู้เกิดความศรัทธาสูงสุด จึงประกอบพิธีกินผักขึ้น โดยเริ่มตั้งแต่ วันขึ้น 1 ค่ำ ถึงวันขึ้น 9 ค่ำ เดือน 9 (ตามปฏิทินจีน) รวม 9 วัน 9 คืน มาเป็นประจำทุกปี จนถึงทุกวันนี้
.
นอกเหนือจากการกินเจปกติแล้ว ยังมีอีกสิ่งที่พิเศษกว่าก็คือ ขบวนแห่จากม้าทรง เมื่อเชิญเทพประทับร่างแล้ว แต่ละองค์จะสำแดงอิทธิฤทธิ์แตกต่างกันไป โดยทุกองค์เน้นที่การทรมานตนเอง เพื่อเป็นการสะเดาะเคราะห์ให้กับผู้ถือศีลกินผัก ตามความเชื่อว่า ‘กิ้วอ๋องไต่เต่’ (ราชาผู้เป็นใหญ่ทั้งเก้า) จะเป็นผู้รับเคราะห์แทน
.
สรุปอีกครั้งก็คือ เทศกาลถือศีลกินเจในเมืองไทยนั้น เกิดจากการรับเอาวัฒนธรรมของชาวจีนโพ้นทะเลแล้วนับมาปรับให้เข้ากับท้องถิ่นของเรา กลายมาเป็นเทศกาลที่มีรูปแบบเฉพาะตัวในที่สุดครับ


ที่มา https://travel.trueid.net/detail/OzAw2ngkN0a7?fbclid=IwAR004ppws17VJSqdF2z-mmzsU4cqNeCqCVM6X5S3kTCldu3PZBpNtxQxrX0 
 

“นายคร้าม” หนึ่งในคนไทย ที่ได้ดู “ฟุตบอล” ที่อังกฤษเมื่อ 100 ปีก่อน

ในปี พ.ศ. 2427 ตรงกับสมัยรัชกาลที่ 5 คณะดนตรีไทยได้รับเชิญให้ไปแสดงในงานมหกรรมแสดงสินค้านานาชาติ ซึ่งจัดขึ้นที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ นักดนตรีที่ถูกคัดเลือกไปนั้นล้วนเป็นผู้มีฝีมือและมีชื่อเสียงในสยามยุคนั้นรวม 19 คน หนึ่งในนั้นคือ นายคร้าม ผู้ชำนาญซอสามสาย
.
วีรกรรมของนักดนตรีคณะนี้เป็นที่ลือลั่นแพร่ชื่อเสียงของดนตรีไทยไปทั่วในต่างประเทศ ที่น่าสนใจเป็นพิเศษ คือ เคยบรรเลงดนตรีไทยถวายสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย และสามารถบรรเลงเพลงชาติของอังกฤษ คือ เพลง God Save The Queen ได้อย่างอัศจรรย์
.
และการเดินทางไปประเทศอังกฤษนี้เอง นายคร้ามได้บันทึกรายงานการเดินทางเป็นสำนวนร้อยแก้วที่อ่านเข้าใจง่าย ด้วยภาษาธรรมดา ๆ บอกเล่าเรื่องราวสิ่งที่พบเห็นในประเทศอังกฤษหลากหลายเรื่อง เช่น ไปทำการแสดงที่อัลเบิร์ตฮอลล์, ไปแสดงดนตรีไทยถวายสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย และเจ้าชายแห่งเวลส์ (ต่อมาเป็นพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 7), เรื่องจิปาถะเกี่ยวกับคนอังกฤษ เช่น “ผัวเมียชาวอังกฤษ”, “เปรียบเทียบการศึกษาของอังกฤษและไทย”, “ว่าด้วยเรื่องรถและสภาพบ้านเมืองชาวอังกฤษ”, “ว่าด้วยอัชฌาสัยการค้าของคนอังกฤษ”
.
แต่เรื่องที่จะนำมาเสนอในที่นี้ คือ เรื่อง “ความพิศวงเมื่อได้ดูการเล่นฟุตบอล” นายคร้ามบันทึกไว้ดังนี้ 
.
“ความพิศวงเมื่อได้ดูการเล่นฟุตบอลล์ แล้วเขาจึงออกมากระทำคำนับทุก ๆ คน แล้วพาดูเครื่องมือที่ทำการต่าง ๆ แล้วเขาอนุญาตว่าท่านที่มากับท่านดอกเต้อร์เวลานี้ ท่านชอบรูปไหน แผ่นไหน ท่านจงหยิบเอา ตามปรารถนาแห่งท่านทุกคนเถิด ข้าพเจ้าหามีความรังเกียจในท่านที่มาหาข้าพเจ้าในวันนี้ไม่ แล้วข้าพเจ้าก็หยิบเอาคนละอันบ้างสองอันบ้างตามชอบอัชฌาสัยทุก ๆ คนแล้ว ก็พากันกลับมาบ้านท่านผู้นั้น เลี้ยงดูตามธรรมเนียมหน่อยหนึ่ง แล้วก็กลับมาตามทางเก่า
.
แต่ทางรถที่ไปนั้นเปนเขาต่ำบ้างสูงบ้าง แล้วมาถึงตะพานข้ามแม่น้ำใหญ่อีกแห่งหนึ่ง แล้วเลี้ยวเข้าไปข้างซ้าย ข้าพเจ้าเห็นชาวเมืองนั้นยืนอยู่เปนวงใหญ่ประมาณหมื่นเศษ แล้วขับรถเข้าไปดู หมดด้วยกันต้องเสียค่าติ๊กเก้ตทุกคน แต่ด๊อกเตอร์ออกให้ทั้งสิ้น ครั้นเข้าไปดูเห็นพวกอังกฤษเล่นลูกบอลกันเหมือนอย่างเล่นตะกร้อ แต่ว่าแต่งตัวเป็นสองพวก ๆ หนึ่งใส่เสื้อเขียว พวกหนึ่งใส่เสื้อแดง เล่นกันเหมือนตีคลี มีแพ้แลชนะกันอย่างคลี ดูอยู่ครู่หนึ่งข้าพเจ้าหนาวเหลือทนก็ออกจากที่นั้น มาพักหนึ่งถึงโฮเต็ลที่พักห้าโมง พอได้เพลารับประทาน ๆ แล้ว ก็เข้าไปทำดนตรีที่ในโรงคอนเสิตที่ในเมืองนอตกิงแฮมดังเคยมาแต่ก่อนนั้น”
.
ในยุคนั้นกีฬาฟุตบอลยังไม่แพร่หลายในสยามสมัยรัชกาลที่ 5 กีฬาชนิดนี้ยังไม่เป็นที่รู้จักของคนไทย และกว่าจะเริ่มเล่นฟุตบอลกันในกรุงเทพฯ ก็ล่วงเข้าสู่สมัยรัชกาลที่ 6 ซึ่งนายคร้ามไม่เคยเห็นการเล่นฟุตบอลมาก่อนจึงอธิบายว่าเป็นกีฬาชนิดหนึ่งที่เล่นตะกร้อผสมตีคลี


ที่มา https://www.silpa-mag.com/history/article_70330 
 

"ท้องร้อง" อาจไม่ได้แปลว่า “หิว” เสมอไป ตรวจสอบ อาการ เสี่ยง โรคหรือไม่ ?

ท่ามกลางความเงียบ แล้วอยู่ ๆ ก็มีเสียงท้องร้องโครกครากออกมา เชื่อว่าหลายคนคงเคยประสบพบเจอกับเหตุการณ์แบบนี้ จนคิดว่า กำลังเกิดความหิว แต่บางครั้งท้องร้อง ไม่ได้เกิดจากความหิว หรือเพิ่งทานข้าวอิ่ม ท้องก็ยังร้องเสียงดัง รู้หรือไม่ว่า สาเหตุที่ท้องร้อง อาจไม่ใช่หิวเสมอไป แต่อาการท้องร้องเสียงดังมีสาเหตุมาจากสมอง ซึ่งเป็นส่วนที่ควบคุมความรู้สึกหิวของเรากำลังจัดลำดับการทำงานของกระเพาะอาหารและลำไส้ ถ้าในเลือดมีสารอาหารเพียงพอ สมองก็จะสั่งให้ระบบย่อยอาหารทำงานช้าลง แต่เมื่อใดที่มีสารอาหารในเลือดน้อย ระบบย่อยอาหารจะทำงานเร็วขึ้น และกล้ามเนื้อกระเพาะอาหารจะหดตัวแรงกว่าปกติ ทำให้เกิดอาการสั่นของกระเพาะอาหาร เราจึงได้ยินเสียงท้องร้องโครกคราก
.
แม้ว่าเสียงท้องร้อง จะเกิดขึ้นบ่อย ๆ เมื่อหิว แต่จริง ๆ แล้วสามารถเกิดขึ้นได้ทุกเวลา ไม่ว่าจะตอนที่กระเพาะอาหารว่างหรือไม่ก็ตาม และยิ่งกว่านั้น เสียงท้องร้องที่เกิดขึ้น ไม่ได้มาจากกระเพาะอาหารเท่านั้น แต่สามารถมาจากลำไส้เล็กได้อีกด้วย เช่น เสียงท้องร้องตอนกินข้าว ซึ่งเกิดจากกล้ามเนื้อกระเพาะอาหาร และลำไส้เล็กบีบตัว เพื่อคลุกเคล้าอาหาร และทำการย่อย นอกจากนี้ การกินอาหารในปริมาณที่มาก อาหารที่มีรสจัด อาจทำให้การเคลื่อนไหวของลำไส้เร็วขึ้น มีการบีบตัวของทางเดินอาหารมากขึ้น สำหรับคนที่มีรูปร่างเล็ก จะมีเสียงท้องร้องโครกครากที่ชัดกว่าคนที่มีรูปร่างใหญ่ และถ้านอนหงายก็จะเกิดอาการท้องร้องได้ง่ายขึ้น เพราะลำไส้บีบตัวได้สะดวกกว่า แต่หากอาการท้องร้องเกิดขึ้นบ่อย ๆ หรือร้องเสียงดัง อาจเกิดได้จาก
.
1. อาหารค้างในลำไส้เล็กมาก จากการกินอาหารปริมาณมากไป ลำไส้จึงใช้เวลานานในการย่อย 
2. กินอาหารที่ย่อยยาก เช่น เนื้อสัตว์ชิ้นใหญ่ ๆ  หรือเคี้ยวอาหารไม่ละเอียด ทำให้อาหารตกค้างในลำไส้เล็กเช่นกัน
3. สาเหตุเดียวกันกับที่ทำให้เกิดท้องอืด ซึ่งอาการท้องอืดคือการมีแก๊สในกระเพาะอาหารและลำไส้มากไป ทำให้เวลา
    กระเพาะอาหารและลำไส้บีบตัว ยิ่งเกิดเสียงดังได้มากกว่าปกติ ซึ่งสาเหตุที่ทำให้ท้องอืด ได้แก่ 
•    การกลืนอากาศเข้าไปปริมาณมาก จากการอ้าปาก พูดคุย หัวเราะ หรือหายใจทางปาก การกินหรือดื่มเร็วเกินไป การใช้หลอดดูดเครื่องดื่ม การเคี้ยวหมากฝรั่ง 
•    การกินอาหารที่ทำให้เกิดแก๊ส หรือเครื่องดื่มที่มีแก๊ส เช่น น้ำอัดลม ถั่วต่าง ๆ เมล็ดธัญพืชต่าง ๆ 
•    การกินยาบางชนิด ยาแก้ปวดชนิดเสพติด อาหารเสริมธาตุเหล็ก
•    โรคกระเพาะอาหารอักเสบ กระเพาะอาหารเป็นแผล โรคกรดไหลย้อน 
•    ขาดน้ำย่อยอาหารบางชนิด เช่น น้ำย่อยย่อยโปรตีนนม แล้วได้ดื่มนมเข้าไป
4.  มีความเครียด วิตกกังวล ส่งผลให้ระบบย่อยอาหารทำงานไม่ดีอาหารตกค้างในลำไส้ได้เช่นกัน
5. โรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง ซึ่งส่งผลต่อการย่อยละดูดซึมอาหาร แต่มักมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น ปวดท้อง ท้องเสียสลับ
    ท้องผูก อุจจาระมีมูกปน เป็นต้น
6. ลำไส้อุดตัน ทำให้อาหารและน้ำค้างอยู่ในลำไส้ แต่จะไม่มีการถ่ายอุจจาระ หรือผายลมออกมา มีอาการคลื่นไส้ 
    อาเจียนร่วมด้วย เป็นต้น
.
คำแนะนำเบื้องต้น คือ ลดปริมาณอาหารที่กินลงในแต่ละมื้อ กินอาหารที่ย่อยง่าย  ลดอาหารประเภทเนื้อสัตว์ อาหารต้องรสไม่จัด เคี้ยวช้า ๆ ให้ละเอียด ไม่กินและกลืนเร็ว ไม่ดื่มน้ำอัดลม อัดแก๊สต่าง ๆ หลีกเลี่ยงอาหารประเภทถั่ว และธัญพืช รวมถึงอาหารที่มีไขมันสูง อาหารทอดต่าง ๆ เป็นต้น

ทั้งนี้ เสียงท้องร้องโครกคราก มักเป็นสภาวะที่ไม่อันตราย อาจมีส่วนน้อยที่เป็นสัญญาณบ่งบอกว่า มีสภาวะอันตรายเกิดขึ้น แต่มักจะมีอาการอย่างอื่นร่วมด้วย เช่น การปวดท้องรุนแรง จุกเสียด อาเจียน อาจจะส่งผลก่อให้เกิดโรคอื่น ๆ ตามมา ก็ควรปรึกษาแพทย์ เพื่อรักษาให้ทันท่วงที


ที่มา https://www.komchadluek.net/kom-lifestyle/health/530558 
 

“ตกนรกอเวจีปอยเปตแสนล้านภพแสนล้านชาติ” มารู้จัก “นรกอเวจี” เครื่องเตือนใจเพื่อทำความดี

เมื่อวลีสุดฮิต “ตกนรกอเวจีปอยเปตแสนล้านภพแสนล้านชาติ” ในโลกโซเชียล ทำให้ช่วงนี้หลายคนอยากรู้เรื่องราว “นรกอเวจี” ตามความเชื่อทางศาสนาพุทธมากขึ้น แล้วรู้หรือไม่? ความจริงแล้ว อเวจี เป็นแค่ส่วนหนึ่งของนรกเท่านั้น
.
โลกของ “นรก” หรือ “นรกภูมิ” ในศาสนาพุทธนั้นคือ ดินแดนหนึ่งที่เชื่อกันว่าผู้ที่ทำบาปตอนยังเป็นมนุษย์เมื่อเสียชีวิตแล้วจะต้องไปเกิดในนรก และถูกลงโทษตามคำพิพากษาของมัจจุราช โดยตามไตรภูมิกถาแล้ว นรกภูมิเป็นดินแดนหนึ่งในกามภพอันเป็นหนึ่งในภพทั้งสาม คือ กามภพ รูปภพ และอรูปภพ รวมเรียกว่า "ไตรภพ" หรือ "ไตรภูมิ"
.
นรกของพระพุทธศาสนาต่างจากนรกของศาสนาอื่นๆ ในฝั่งตะวันตกอยู่สองเรื่อง คือ 1.ชาวตะวันตกเชื่อว่าเมื่อเราตายไปจะไม่ได้ไปเกิดและรับโทษในนรกภูมิตามคำพิพากษาของพระเจ้า แต่เป็นเพราะบาปกรรมที่ตนได้กระทำเมื่อมีชีวิต และ 2.ระยะเวลาถูกลงโทษในนรกเป็นไปตามโทษานุโทษ ไม่ได้ชั่วกัปชั่วกัลป์ แต่ก็กินเวลานานมาก เมื่อพ้นโทษจากนรกแล้วจะได้กลับไปเกิดในโลกที่สูงขึ้นตามแต่กรรมดีที่ได้กระทำไว้หรือตามแต่ผลกรรมที่เหลืออยู่ แล้วแต่กรณี
.
สำหรับ คติไตรภูมินั้นโลกนรก หรือ “นิรยภูมิ” เป็นส่วนหนึ่งของอบายภูมิหรือทุคติภูมิ 4 ประกอบด้วยพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาลสุดลูกหูลูกตา มีนรกอีกหลายขุมซ้อนทับกันหลายชั้น แต่ละชั้นก็มีนรกบริวารรวมนับร้อยขุม
.
นิรยภูมิจะแบ่งออกเป็น “มหานรก” มีทั้งหมด 8 ขุมใหญ่ ที่ตั้งซ้อนทับเป็นชั้นๆ และแยกกันอย่างชัดเจนอยู่ลึกลงไปใต้โลกมนุษย์ เรียงจากชั้นบนสุดลงไปยังชั้นล่างสุด ซึ่งสามารถแบ่งจากโทษเบาสุดไปจนถึงโทษหนักสุดได้ดังนี้
.
1. สัญชีวนรก คือ นรกไม่มีวันแตกดับ เป็นนรกสำหรับผู้ที่เบียดเบียนผู้อื่น สัตว์นรกจะถูกทรมานจากนิรยบาลด้วยสารพัดวิธีจากคมอาวุธจนตาย แต่ก็จะมี “ลมกรรม” พัดผ่านให้คืนชีพมาเสวยโทษทัณฑ์เรื่อยๆ ต้อง เกิด-ตาย วนเวียนอยู่เช่นนั้นจนครบอายุขัย อายุของสัตว์นรกในสัญชีวนรก คือ 500 ปี โดย 1 วันนรก เท่ากับ 9 ล้านปีโลกมนุษย์
.
2. กาฬสุตตนรก คือ นรกเส้นด้ายดำ เป็นนรกสำหรับผู้ที่ทำร้ายผู้มีพระคุณหรือทำลายชีวิตสัตว์โลก เมื่อสัตว์นรกถูกตีด้วยด้ายดำจนเกิดเส้นตามร่างกาย จะถูกเฉือนด้วยคมอาวุธตามรอยนั้น อายุของสัตว์นรกในกาฬสุตตนรก คือ 1,000 ปี โดย 1 วันนรก เท่ากับ 3 โกฏิ (1 โกฏิ เท่า 10 ล้าน) กับอีก 6 ล้านปีโลกมนุษย์
.
3. สังฆาฏนรก คือ นรกบดขยี้ เป็นนรกสำหรับผู้ที่ไร้ความเมตตา ชื่นชอบการทารุณกรรม สัตว์นรกจะถูกกระหน่ำตีด้วยค้อนเหล็กและบดทับด้วยลูกไฟกับภูเขาเหล็ก อายุของสัตว์นรกในสังฆาฏนรก คือ 2,000 ปี โดย 1 วันนรก เท่ากับ 14 โกฏิกับอีก 5 ล้านปีโลกมนุษย์
.
4. โรรุวนรก คือ นรกแห่งเสียงคร่ำครวญ นรกสำหรับเหล่าคนโลภ ฉ้อโกง ร่างของสัตว์นรกจะถูกตรึงให้นอนคว่ำหน้า หัว มือ และเท้าจมอยู่ในดอกบัวเหล็กที่เปลวเพลิงลุกท่วม ร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวด แต่ไม่ตาย อายุของสัตว์นรกในโรรุวนรก คือ 4,000 ปี โดย 1 วันของนรกขุมนี้เท่ากับ 23 โกฏิกับอีก 4 ล้านปีโลกมนุษย์
.
5. มหาโรรุวนรก คือ นรกแห่งเสียงคร่ำครวญอย่างยิ่งยวด นรกสำหรับคนจิตใจโหดเหี้ยม อำมหิต ทำความชั่วทั้งหลายด้วยจิตอาฆาตพยาบาท ดอกบัวเหล็กของนรกขุมนี้จะเพิ่มคมตามกลีบดอก โดยสัตว์นรกต้องจมอยู่ในดอกบัวเหล็กทั้งตัว อายุของสัตว์นรกในมหาโรรุวนรก คือ 8,000 ปี โดย 1 วันนรก เท่ากับ 921 โกฏิกับอีก 6 ล้านปีโลกมนุษย์
.
6. ตาปนรก คือ นรกแห่งความร้อนรุ่ม นรกสำหรับคนบาปที่เต็มไปด้วยโลภะ โทสะ โมหะ และความเห็นแก่ได้ สัตว์นรกจะถูกหลาวเหล็กแท่งใหญ่ราวต้นตาลเสียบพร้อมเปลวไฟพวยพุ่ง ก่อนถูกสุนัขนรกฉุดกระชากลงมากิน อายุของสัตว์นรกในตาปนรก คือ 16,000 ปี โดย 1 วันนรกเท่ากับ 1,842 โกฏิกับอีก 12 ล้านปีโลกมนุษย์
.
7. มหาตาปนรก คือ นรกแห่งความร้อนรุ่มอย่างยิ่งยวด เป็นนรกสำหรับผู้ที่เคยฆ่าคนและฆ่าสัตว์เป็นหมู่มาก ๆ ไม่คำนึงถึงชีวิตผู้อื่น ต้องอยู่ในกำแพงและภูเขาเหล็กที่เต็มไปด้วยหนามแหลม พร้อมลมกรดพัดพาร่างไปโดนหนามเสียบ อายุของสัตว์นรกขุมนี้คือ ครึ่งกัลป์ (1 กัลป์ เท่ากับระยะเวลาที่อายุของมนุษย์ไขลงจากอสงไขยปี จนถึง 10 ปี แล้วไขขึ้นจาก 10 ปี จนถึงอสงไขยปีอีกรอบ ครบ 1 คู่ เรียกว่า 1 กัลป์ ซึ่งอสงไขยปีเท่ากับเลข 1 ตามด้วยเลขศูนย์ 140 ตัว)
.
8. อเวจีนรก คือ นรกอันแสนสาหัสไร้ความปรานี เป็นมหานรกที่ลึกและกว้างใหญ่ที่สุด เป็นนรกสำหรับผู้ทำกรรมหนักอย่างหาที่สุดมิได้ เช่น ฆ่าบุพการี ฆ่าพระอรหันต์ ทำร้ายพระพุทธเจ้าให้ห้อพระโลหิต และยุยงให้คณะสงฆ์แตกแยก ขุมนรกล้อมด้วยกำแพงเหล็กที่เปลวไฟลุกท่วม สัตว์นรกจะถูกเพลิงเผาผลาญด้วยอิริยาบถต่างๆ ทั้ง นั่ง ยืน หรือนอน ตามกรรมของตน อยู่ห้องสี่เหลี่ยมและหลาวเหล็กเสียบทะลุร่างตรึงให้แน่นิ่งไม่สามารถขยับร่างกายได้ อายุของสัตว์นรกในอเวจีนรก คือ 1 กัลป์
.
นอกจากนี้ในแต่ละขุมยังมี “ยมโลกนรก” อยู่อีก 320 ขุม อยู่รอบ 4 ทิศ ทิศละ 10 ของมหานรกแต่ละขุม เรียกว่า “อุสสทนรก” ดังนี้
.
1. คูถนรก เต็มไปด้วยหนอนตัวใหญ่คอยกัดกินสัตว์นรกที่ผ่านเข้ามา
2. กุกกุฬนรก เต็มไปด้วยเถ้าถ่านคอยเผาสัตว์นรกให้กลายเป็นจุณ
3. อสิปัตตนรก มีต้นมะม่วงใหญ่หลอกล่อสัตว์นรกมาพักพิง จากนั้นใบมะม่วงจะกลายเป็นหอกพุ่งแทงสัตว์นรก รวมถึงมีกำแพงเหล็กติดเปลวเพลิงขวางกั้นพร้อมสุนัขนรกและแร้งนรกคอยรุ่มฉีกกินสัตว์นรก
4. เวตรณีนรก เต็มไปด้วยน้ำเค็มและเครือหวายหนามเหล็กล้อมคอยทิ่มแทงให้เกิดแผล มีไฟลุกท่วมกลางน้ำกับดอกบัวกลีบคมที่มีเปลวเพลิงติดอยู่ตลอด มีนิรยบาลใช้เบ็ดเกี่ยวลากขึ้นมาบนฝั่งเพื่อทำทัณฑ์ทรมานต่อ
.
และ “นรก” ก็ไม่ได้มีอยู่แค่ใต้ดินของโลกมนุษย์เราเหมือนอย่าง “นรกอเวจี” เท่านั้น แต่ยังมีนรกที่อยู่ไกลออกไปนอกโลกในจักรวาลอันไกลโพ้นอีกด้วย นั่นก็คือ “โลกันตนรก” เป็นนรกขุมที่ยิ่งใหญ่อีกขุมหนึ่ง เป็นขุมนรกสำหรับผู้ที่กระทำทรมานบุพการีหรือทำร้ายผู้ทรงศีล 
.
ในโลกันตนรกมีสภาพมืดสนิท แสงดาวแสงเดือนและแสงตะวันก็ส่องไปไม่ถึง เสมือนคนหลับตาในเดือนดับข้างแรม สัตว์นรกที่มาเกิดในโลกันตนรก จะมีสภาพแปลกประหลาด มีสรีระร่างกายใหญ่โต มีเล็บมือและเล็บเท้ายาว ต้องใช้เล็บมือและเท้าเกาะอยู่ตามเชิงเขาจักรวาลห้อยโหนโยนตัว โดยเอาหัวลงมาข้างล้างชั่วนิรันดร์และต้องทรมานอยู่ในความมืด หากพลัดตกลงไปเบื้องล่างก็จะเป็นทะเลดำที่เป็นน้ำกรดและมีความเย็นเฉียบ ทำให้ต้องรีบตะเกียกตะกายกลับขึ้นไปห้อยโหนเช่นเดิม
.
จะเห็นได้ว่า “นรก” ในทางศาสนาพุทธนั้นมีความซับซ้อนมากมายหลายขุม เพื่อให้ครอบคลุมแก่ผู้ที่ทำบาปแตกต่างกันไป หลายคนอาจจะมองว่าเป็นเพียงกุศโลบายที่ไม่มีอยู่จริง แต่อย่างน้อยเรื่องราวเหล่านี้ก็ถือเป็นเครื่องเตือนใจให้ชาวพุทธได้ระลึกอยู่เสมอว่า ในยามมีชีวิตอยู่นั้นควรกระทำแต่ความดี เมื่อเสียชีวิตไปแล้วจะได้ไม่ต้องทนทุกข์ทรมานอยู่ในโลกนรกทั้งใต้ดินและนอกจักรวาล


ที่มา https://www.bangkokbiznews.com/lifestyle/judprakai/1027068 
 

“ชามตราไก่” ของดีเมืองลำปาง เริ่มต้นมีที่ “โรงงานถ้วยชามสามัคคี”

ไปเที่ยวลำปางคราใด แล้วนึกอยากจะซื้อของฝากเป็นที่ระลึกติดไม้ติดมือกลับมา สิ่งหนึ่งที่ทุกคนน่าจะนึกถึงเป็นอย่างแรก ๆ ก็คือ ชามตราไก่ เซรามิกที่มีคุณภาพและมีชื่อเสียงมานาน ทั้งยังลวดลายสวยงามและราคาย่อมเยา หากแต่เชื่อว่าหลายคนน่าจะอยากรู้ถึงที่มาและที่ไป ว่ามีความเป็นมาอย่างไร จนครั้งหนึ่ง Google Doodle เลือกที่จะขึ้นโลโก้น่ารักของชามตราไก่ให้เราได้เห็นกัน
.
เมื่อวันที่ 12 กันยายน 2565 หากเปิดหน้า Google จะเจอเข้ากับโลโก้น่ารักที่เราเองก็คุ้นหน้าคุ้นตากับ “ชามตราไก่” พอเห็นอย่างนั้นเข้าก็เลยชวนให้สงสัยว่า “เอ๊ะ ! แล้วทำไมชามตราไก่ถึงไปปรากฏอยู่ได้นะ” เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า กูเกิล (Google) ร่วมเฉลิมฉลองครบรอบ 9 ปี ของชามตราไก่ หลังได้รับการจดทะเบียนเป็นผลิตภัณฑ์สิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ของลำปางตั้งแต่ปี 2556 ที่ยังคงไว้ซึ่งลวดลายที่เป็นเอกลักษณ์และสินค้าขึ้นชื่อของจังหวัดลำปาง
.
หากจะเล่าถึงประวัติชามตราไก่ เห็นทีว่าเริ่มต้นจากชาวจีน 2 คน คือ คุณอี้ (ซิมหยู) แซ่ฉิน และคุณซิวกิม แซ่กวอก ทั้งคู่เคยมีประสบการณ์การทำโรงงานถ้วยชามที่จีนมาก่อนเดินทางมาประเทศไทย และได้ทำที่โรงงานเครื่องปั้นดินเผาที่จังหวัดเชียงใหม่ จนเจ้าของอยากจะทำชามขึ้นมาเป็นของตัวเอง เพราะขณะนั้นประเทศไทยยังไม่สามารถที่จะผลิตเองได้ ต้องอาศัยการนำเข้า ทั้งคู่จึงได้เห็นโอกาสและค้นหาสถานที่ที่มีดินที่เหมาะสม จนพบว่าที่บ้านปางค่า อำเภอแจ้ห่ม จังหวัดลำปาง มีแร่ดินขาวเซเรมิกที่ดี เหมาะแก่การนำมาทำเครื่องปั้นดินเผา จนร่วมกันตั้งโรงงานเซรามิกที่ชื่อว่า “โรงงานถ้วยชามสามัคคี” นับเป็นโรงงานที่ทำถ้วยตราไก่ที่แรกในจังหวัดลำปาง
.
เชื่อว่าแวบแรกที่เห็นชามตราไก่ ทุกคนเป็นต้องสะดุดตากับลวดลายรูปไก่ โดยตัวชามเป็นสีขาวล้วน และนำมาเขียนลวดลาย เผาสี และเคลือบ ก่อนนำมาจำหน่าย โดยเลือกวาดรูปไก่ เพื่อเป็นสื่อสัญลักษณ์ถึงประเทศจีน ซึ่งมีรูปทรงแผนที่คล้ายกับรูปไก่ ชามตราไก่รุ่นแรก ๆ ผลิตภัณฑ์จากประเทศจีน ลักษณะของไก่ ตัวหงอนจะเป็นสีแดง หางสีดำ ต้นกล้วยสีเขียวอ่อน ต้นหญ้าสีเขียว ดอกโบตั๋นสีชมพู-ม่วง ส่วนชามตราไก่รุ่นปัจจุบัน ลักษณะของไก่จะเป็นสีม่วงหรือชมพูม่วง หรือสีต่าง ๆ กัน หางสีน้ำเงิน เขียว ต้นกล้วยเขียวคล้ายดอกไม้ชมพู-ม่วง เขียนลวดลายตามใจ ไม่ค่อยมีแบบแผน รวมถึงเติมลวดลายอื่น ๆ ลงไปประดับเพื่อความสวยงาม
.
ด้วยการเปลี่ยนแปลงของยุคสมัย โรงงานผลิตหลายโรงต้องปิดตัว รวมถึงคนรุ่นปัจจุบันหันไปใช้ถ้วยชามอย่างอื่น จึงมีผลทำให้ชามตราไก่อาจไม่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายเหมือนแต่ก่อน ถึงอย่างนั้นก็มีกลุ่มคนที่ยังคงให้ความสำคัญกับการอนุรักษ์ชามตราไก่ รวมตัวกันเป็นสมาคมชื่อว่า “สมาคมเครื่องปั้นดินเผาจังหวัดลำปาง” ในฐานะของเก่าหายากและควรค่าต่อการเก็บสะสม ทั้งนี้ รายละเอียดต่าง ๆ ของชามตราไก่อาจมีความเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย แต่ยังคงไว้ซึ่งเอกลักษณ์อยู่ไม่เสื่อมคลาย
.
สำหรับใครที่มาเที่ยวลำปาง แล้วอยากสัมผัสตำนานที่ยังมีลมหายใจของชามตราไก่ ลองแวะไปที่ พิพิธภัณฑ์เซรามิคธนบดี โดยสถานที่แห่งนี้จะรวบรวมเรื่องราวของชามตราไก่ ตลอดจนได้ลองปั้นชามไห่ การเคลือบ การตกแต่ง การเขียนลาย เรียกได้ว่ารู้ถึงรายละเอียดแต่ละขั้นตอน ว่ากว่าจะมาเป็นชามตราไก่สักใบ มีที่มาที่ไปเป็นอย่างไร เหล่านี้น่าจะช่วยสร้างความตื่นตาตื่นใจ ตลอดจนเปิดโอกาสให้นักท่องเที่ยวได้ทำกิจกรรมเวิร์กช็อป ด้วยการออกแบบผลิตภัณฑ์เซรามิกในแบบของตัวเองได้อีกด้วย
.
รายละเอียดสำหรับการเข้าชม
ที่อยู่ : ถนนวัดจองคำ พระบาท ซอย 1 ตำบลพระบาท อำเภอเมืองลำปาง จังหวัดลำปาง
เวลาเปิด-ปิด : ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 09.00-17.00 น.
บริการรอบนำชม : รอบเช้า เวลา 09.00-10.00 น. / เวลา 10.00-11.00 น. / เวลา 11.00-12.00 น. และรอบบ่าย : เวลา 13.00-14.00 น. / เวลา 14.00-15.00 น. / เวลา 15.00-16.00 น. / เวลา 16.00-17.00 น.
โทรศัพท์ : 0-5482-1558-9 ต่อ 103, 06-1273-3344 
เฟซบุ๊ก : มิวเซียมธนบดี
.
สำหรับใครที่อยากซื้อหาชามตราไก่เป็นของที่ระลึก นอกจากจะตรงดิ่งไปยังแหล่งโรงงานแล้ว บริเวณริมถนนใหญ่ของตัวเมืองลำปาง หรือบริเวณจอดรถพระธาตุลำปางหลวง ก็มีชามตราไก่และบรรดาข้าวของเครื่องใช้เซรามิกต่าง ๆ ให้เลือกซื้อหา ทั้งนี้ ราคาขึ้นอยู่กับชนิด ฝีมือ และความเรียบร้อยของชิ้นงาน ใครพอใจชิ้นไหนก็เลือกซื้อเลือกหาได้ตามสะดวกกันเลย
.
ความโด่งดังของชามตราไก่และเซรามิกเมืองลำปาง ทำให้เกิดเส้นทางท่องเที่ยวที่ช่วยกระจายได้รายได้สู่ชุมชน มีทั้งหมู่บ้านและโฮมสเตย์ให้นักท่องเที่ยวได้เที่ยวเจาะลึกเข้าคลาสปั้นเซรามิกกับชาวบ้านในชุมชน เหล่านี้นับเป็นเสน่ห์อันน่าภาคภูมิใจตราบจนปัจจุบัน
.
หมายเหตุ : ข้อมูลอาจมีการเปลี่ยนแปลงกรุณาตรวจสอบอีกครั้ง


ที่มา https://travel.kapook.com/view259850.html 
 

ต้นกำเนิดไฟจราจร รู้ไหม ? มีต้นกำเนิดมาจากไหน ?

เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2565 พ.ร.บ.จราจรทางบก (ฉบับที่ 13) พ.ศ. 2565 เริ่มมีผลบังคับใช้ โดยเฉพาะมีโทษปรับตามกฎหมายใหม่ มีอัตราโทษที่สูงขึ้น เพื่อบังคับใช้ให้เกิดความปลอดภัยกับผู้ใช้รถใช้ถนน บางความผิดมีโทษสูงสุดปรับไม่เกิน 4,000 บาท และใบสั่งทุกใบจะถูกกำกับโดยระบบฐานข้อมูลใบสั่งที่เรียกว่า PTM (Police Ticket Management) ซึ่งจะระบุจำนวนค่าปรับตามเกณฑ์ที่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติกำหนดไว้ในใบสั่งทุกใบ ดังนั้น ค่าปรับจึงเป็นมาตรฐานเดียวกันทั่วประเทศ โดยใน พ.ร.บ. นี้จะมีการปรับโทษของการฝ่าสัญญาณไฟจราจรไว้ด้วย แล้วคุณรู้ไหม ? ว่าต้นกำเนิดไฟจราจร มีต้นกำเนิดมาจากไหน ? 
.
ทุกคนคงทราบกันดีถึงความหมายของไฟจราจร ว่าเป็นสิ่งที่ไว้ใช้ส่งสัญญาณในการใช้รถบนถนน โดยมักจะถูกติดตั้งเอาไว้ตามแยกต่าง ๆ ที่มีการสัญจรที่หนาแน่นเป็นส่วนมาก โดยทำหน้าที่ควบคุมให้การใช้รถใช้ถนนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและช่วยป้องกันการเกิดอุบัติเหตุ ซึ่งไฟจราจรมีความสำคัญมาก เพราะมีการระบุไว้ในข้อกฎหมาย ที่หากใครฝ่าฝืนก็จะต้องถูกรับโทษไปตามระเบียบ
.
และเชื่อว่าผู้ใช้รถ ใช้ถนนก็คงจะรู้ว่าไฟจราจรมีกี่สี ไฟจราจรมีสีอะไรบ้าง ? และรู้ว่า ไฟสัญญาณจราจรแต่ละสีนั้นมีความหมายว่าอะไร นั่นก็คือสีแดงเป็นการให้สัญญาณการหยุด สีเหลืองให้ชะลอเตรียมตัวหยุด และสีเขียวคือให้รถผ่านไปได้ แต่คุณทราบที่มาของไฟจราจรหรือเปล่า? ว่ามีต้นกำเนิดมาจากที่ใด
.
ย้อนกลับไปในปี ค.ศ.1868 วิศวกรชาวอังกฤษนามว่า เจ.พี ไนต์ ได้เล็งเห็นว่าการสัญจรของรถม้าและคนเดินเท้าที่ใช้งานถนนบริเวณสี่แยก เริ่มมีความพลุกพล่านมากขึ้น จึงได้คิดค้นอุปกรณ์ที่จะนำมาใช้แก้ไขปัญหานี้ เพื่อควบคุมการสัญจรให้มีความเป็นระเบียบมากขึ้น จนได้ประดิษฐ์ไฟจราจรชิ้นแรกของโลกขึ้นมา และถูกติดตั้งเอาไว้ที่สี่แยกหน้ารัฐสภาพอังกฤษ ในมหานครลอนดอน
.
โดยไฟจราจรแบบแรกของโลกนั้น มีลักษณะเป็นเพียงเสาสูง เหมือนคนยืนกางแขนซ้ายขวา ที่ทำงานด้วยระบบทำมือ นั่นคือต้องอาศัยมีคนคอยกดเพื่อส่งสัญญาณให้เครื่องทำงาน เมื่อแขนทั้ง 2 ข้าง ยกขึ้นให้ขนานกับพื้นดิน เป็นการบอกว่าพาหนะที่สัญจรอยู่ที่บริเวณสี่แยกนั้นจะต้องหยุดทันที และเมื่อส่งสัญญาณเคลื่อนตัว ทำมุม 45 องศา เป็นการบอกว่าให้ผู้ใช้พาหนะทุกชนิด ระมัดระวังในการใช้ถนนอย่างระมัดระวัง
.
ในเวลากลางคืนสัญญาณจราจรจะมีเพียงไฟสีแดงและสีเขียว จนในปี ค.ศ.1920 วิลเลียม พอตต์ ตำรวจจราจรแห่งรัฐมิชิแกน ได้ออกแบบไฟสัญญาณจราจรรูปแบบใหม่ขึ้น พร้อมเพิ่มสีเหลืองเข้าไปอีกหนึ่งสี เพื่อเป็นสัญญาณเตือนให้ชะลอตัวก่อนที่จะหยุดหรือออกตัว และที่แรกที่ติดตั้งไฟจราจรแบบใหม่ก็คือที่หัวมุมถนนมิชิแกนในเมืองดีทรอยต์ ประเทศสหรัฐอเมริกา และกลายเป็นต้นแบบไฟจราจรที่มีการพัฒนามาอย่างต่อเนื่องจนเป็นระบบแบบอัตโนมัติที่ใช้กันอย่างแพร่หลายอย่างในปัจจุบัน
.
ความหมายของไฟจราจรแต่ละสี ??? การเลือกใช้สีทั้ง 3 หลักนั้น มีความหมายที่เข้าใจตามหลักสากล โดยกลุ่มสีนี้เป็นแม่สีหลัก ที่มีการสื่อความหมายที่เข้าใจได้ไม่ยาก นั่นคือการใช้สีแดง หมายถึงอันตราย สื่อถึงความฉุกเฉิน ทำให้เหมาะกับการใช้เตือนให้หยุดรถ ส่วนสีเขียวนั้นให้ความรู้สึกสบายใจ ดูสงบ ให้ความปลอดภัย และสำหรับสีเหลือง เป็นสีที่ดวงตาของมนุษย์ไวต่อการรับแสงมากสุด เหมาะกับการใช้เฝ้าระวัง และเตรียมตัว อีกทั้งให้ความรู้สึกผ่อนคลายอีกด้วย
.
สีเขียวและสีแดงมีโทนของสีที่ต่างกันอย่างชัดเจน แม้แต่คนตาบอดสีก็สามารถแยกแยะสีทั้งสองได้จากการวัดค่าความเข้มข้นของแสง และพิจารณาจากตำแหน่งของดวงไฟ ที่ปกติมักจะเรียงให้สีแดงเป็นสีแรกที่อยู่บนสุด หรือซ้ายสุด ตามด้วยสีเหลือง และสีเขียวที่จะอยู่ตำแหน่งสุดท้าย ซึ่งคนตาบอดสีจะต้องเข้ารับการทดสอบสายตาก่อน เพื่อรับใบขับขี่
.
โทษของการฝ่าไฟแดงตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก (ฉบับที่ 13) พ.ศ. 2565 เริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 5 กันยายน 2565ที่ผ่านมา ได้เพิ่มอัตราโทษการฝ่าฝืนกฎจราจรขึ้นอย่างมาก โดยเพิ่มอัตราโทษที่เป็นปัจจัยต่อการเกิดอุบัติเหตุ เป็นปัจจัยเสี่ยง ในการสูญเสียของผู้ขับขี่และผู้ใช้ทาง เพิ่มอัตราโทษปรับซึ่งการขับรถฝ่าฝืนสัญญาณไฟแดง ปรับไม่เกิน 4,000 บาท ไม่หยุดรถให้คนข้ามทางม้าลาย ปรับไม่เกิน 4,000 บาท และหากฝ่าไฟแดงแล้วเกิดอุบัติเหตุ ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน มีผู้ได้รับบาดเจ็บ หรือเสียชีวิต หรือได้รับความเสียหายทางทรัพย์สินใด ๆ ผู้กระทำความผิด จะถูกข้อหาขับรถโดยประมาท หรือขับรถโดยประมาททำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย มีโทษทั้งปรับและจำ และต้องชดใช้ค่าเสียหายที่เกิดขึ้นอีกด้วย
.
และนี่คือสาระดี ๆ เกี่ยวกับสัญญาณไฟจราจร เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่หลายคนอาจมองข้าม ถึงแม้ที่มาของไฟจราจรจะไม่ได้ยิ่งใหญ่หรือชวนให้จดจำอะไร แต่การใช้งานสัญญาณไฟจราจรนั้นสำคัญมาก ทุกครั้งที่ใช้รถใช้ถนน ควรที่จะเคารพกฎจราจร และให้ความสำคัญกับสัญญาณไฟให้ดี เพื่อการขับขี่ที่ปลอดภัยต่อร่างกาย ชีวิต และทรัพย์สินของตัวคุณและผู้ร่วมใช้ถนนทุกคน


ที่มา https://chobrod.com/tips-car-care/ต้นกำเนิดของไฟจราจร-12286 
 

มนุษย์ต่างดาว มีจริงหรือ ? ข้อถกเถียง หลากมุมมอง ที่ไม่ยุติสักที

“มนุษย์ต่างดาว” สิ่งมีชีวิตนอกโลก หรือเอเลียน มีจริงหรือไม่ จากข้อถกเถียงของชาวโลกแวดวงต่างๆ ในมุมมองหลากหลายมายาวนานมาก และมีความพยายามจะหาคำตอบมาให้ได้ ตั้งแต่การส่งยานสำรวจอวกาศ ไปยังดาวเคราะห์และวัตถุในระบบสุริยะอื่นๆ การค้นหาดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะอันห่างไกล 
.
รวมถึงการพยายามค้นหาสัญญาณวิทยุจากห้วงอวกาศที่แปลกไปจากธรรมชาติ ผ่านโครงการ SETI (Search for Extra-Terrestrial Intelligence) หลายโครงการทั่วโลก หรือเรียกกันว่าการค้นหาสัญญาณจากมนุษย์ต่างดาว เริ่มมาตั้งแต่ช่วงปี ค.ศ. 1900
.
เมื่อเวลาผ่านไปมีการพัฒนาและปรับปรุงใช้เทคโนโลยี เข้ามาช่วยในการค้นหาสัญญาณ ตั้งแต่การใช้เครื่องซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ ช่วยวิเคราะห์ข้อมูล และเปิดโอกาสให้ประชาชนทั่วไปมีส่วนร่วมค้นหาสัญญาณผ่านโครงการ SETI@home จนปัจจุบันยังไม่สามารถค้นพบหลักฐานยืนยันได้ถึงการมีอยู่ของมนุษย์ต่างดาว หรือสิ่งมีชีวิตอันทรงภูมิปัญญาจากต่างดาว ทำให้มนุษย์โลกยังคงเป็นสิ่งมีชีวิตอันทรงภูมิปัญญาเพียงหนึ่งเดียวในจักรวาล
.
อีกหนึ่งโครงการมีชื่อว่า METI (Messaging extra-terrestrial intelligence) พิสูจน์การมีอยู่ของสิ่งมีชีวิตจากต่างดาว แต่แตกต่างเน้นการระบุตำแหน่งและเรียกหาให้มนุษย์ต่างดาวนอกอวกาศได้ทราบถึงการมีอยู่ของสิ่งมีชีวิตบนโลก เริ่มจากการส่งแผ่นโลหะฉลุลายสัญลักษณ์ต่างๆ ติดอยู่กับยาน
.
ต่อมาองค์การนาซา ได้ส่งแผ่นเสียงทองคำบอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นบนโลก เหมือนการปล่อยจดหมายในขวดแก้วให้ล่องลอยไป ทำให้นักวิทยาศาสตร์เลือกใช้วิธีอื่น ในการส่งข้อความผ่านสัญญาณวิทยุในหลายกระบวนการ ท่ามกลางการท้วงติงเกรงว่า อาจก่อหายนะนำพามนุษย์ต่างดาวบุกรุกเข้ามาโลกมนุษย์
.
ล่าสุด ดร.ศุภชัย อาวิพันธุ์ นักวิจัย กลุ่มวิจัยดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะ และชีวดาราศาสตร์ สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) ร่วมกับนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยฮอกไกโด ได้ใช้ฐานข้อมูลดาวฤกษ์จากกล้องโทรทรรศน์อวกาศ Gaia DR2 คำนวณหาโอกาสที่โลกจะถูกตรวจพบจากสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญานอกโลก ด้วยเทคนิคไมโครเลนส์ทั่วทั้งท้องฟ้า พบว่ามีโอกาสเพียง 14 ครั้งต่อปี เป็นอีกหนึ่งเหตุผลทางดาราศาสตร์ในการพยายามอธิบายและตอบโจทย์ข้อสงสัย “ทำไมจึงยังไม่เจอมนุษย์ต่างดาว” ในงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Monthly Notices of the Royal Astronomical Society
.
งานวิจัยนี้พบว่า ดาวฤกษ์บริเวณระนาบกาแล็กซีทางช้างเผือก มีโอกาสที่จะถูกตรวจพบโลกมากกว่าบริเวณอื่นบนท้องฟ้า เมื่อรวมอัตราการถูกตรวจพบทั่วทั้งท้องฟ้าแล้วพบว่า โลกมีโอกาสถูกตรวจพบจากสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญาเพียงแค่ 14 ครั้งต่อปี ถือว่าเป็นอัตราที่ต่ำมาก เมื่อเปรียบเทียบกับจำนวนดาวฤกษ์ในกาแล็กซีทางช้างเผือกที่มีมากกว่า 4 แสนล้านดวง และการที่โลกของตั้งอยู่ในบริเวณที่ถูกค้นพบได้ยาก ทำให้สิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญาไม่พยายามที่จะติดต่อหรือเดินทางมายังโลก อาจเป็นเหตุให้ปัจจุบันยังคงไม่สามารถค้นพบสัญญาณของสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญาเหล่านั้น
.
จากผลการคำนวณ เปรียบเทียบกับดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะที่ถูกค้นพบแล้วในปัจจุบัน ดาวเคราะห์ MOA-2007-BLG-192L b เป็นดาวเคราะห์ที่อยู่ในบริเวณที่มีโอกาสตรวจพบโลกได้สูงที่สุด แต่อาจมีอุณหภูมิพื้นผิวที่ต่ำเกินกว่าที่จะมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ได้ ขณะที่ดาวเคราะห์ GJ 422 b ตั้งอยู่ในบริเวณที่มีโอกาสตรวจพบโลกได้สูงเป็นอันดับสอง เป็นดาวเคราะห์หิน มีอุณหภูมิพื้นผิวที่สิ่งมีชีวิตสามารถอาศัยอยู่ได้ ดังนั้นดาวเคราะห์ GJ 422 b จึงเป็นหนึ่งในดาวเคราะห์ที่น่าสนใจ ในการค้นหาสัญญาณจากสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญาในอนาคต
.
สิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่งบริเวณบนท้องฟ้า ซึ่งเรียกว่า Earth Micro Lensing Zone (EMZ) มีบางส่วนซ้อนทับกับบริเวณบนท้องฟ้า จะสามารถเห็นโลกโคจรผ่านหน้าดวงอาทิตย์ ได้ ทำให้สิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญาในบริเวณดังกล่าว จะสามารถตรวจพบโลกทั้งด้วยเทคนิคการผ่านหน้า และเทคนิคไมโครเลนส์ได้
.
ทำให้บริเวณ Earth Micro Lensing Zone อาจน่าสนใจสำหรับนักดาราศาสตร์ ทำการค้นหาสัญญาณของสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญา ภายใต้โครงการ SETI นำไปสู่ความร่วมมือกับนักดาราศาสตร์นานาชาติในอนาคต เช่น ใช้หอสังเกตการณ์ดาราศาสตร์วิทยุแห่งชาติของสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) ร่วมค้นหา อาจหันกล้องโทรทรรศน์วิทยุ ไปยังดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะบางดวง และค้นพบสัญญาณวิทยุจากสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญา กำลังพยายามติดต่อมาหามนุษย์ที่อาศัยอยู่บนโลกได้เช่นกัน
.
หนึ่งในนักวิทยาศาสตร์ที่เชื่อว่ามนุษย์ต่างดาวมีจริง “ดร.ก้องภพ อยู่เย็น” อดีตวิศวกรองค์การนาซา ผู้เชี่ยวชาญด้านพายุสุริยะและปรากฏการณ์ของจักรวาล บอกว่า การเชื่อว่ามนุษย์ต่างดาวมีจริง เป็นเรื่องประสบการณ์ของแต่ละคนที่เจอมา ขณะที่คนส่วนใหญ่ไม่เคยเห็นอาจมองว่าเป็นเรื่องเพ้อเจ้อ ทำให้พูดในเรื่องนี้ไม่ได้มากและเป็นเรื่องของความมั่นคง แม้มีหลายคนเคยเห็นเคยเจอมา หากพูดไปคนก็จะแตกตื่น และไม่สามารถพูดหว่านล้อมให้นักวิทยาศาสตร์เชื่อได้ หรือต่อให้พูดทางสื่อ ก็ยังมีการปฏิเสธไม่รับฟัง เพราะยังหมกมุ่นในความเห็นของตัวเอง
.
“เรื่องมนุษย์ต่างดาว เป็นประสบการณ์เฉพาะคน เหมือนเรื่องผี วิญญาณ จนถูกมองว่าบ้า ว่าเพี้ยน เพราะเมื่อคนไม่เปิดใจ ก็จะมีการวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ นานา และโครงการพิสูจน์การมีอยู่ของมนุษย์ต่างดาวเหล่านี้ ใช้สมมติฐานที่ตั้งไว้แล้วไปตีกรอบสิ่งมีชีวิตนอกโลก อาจเป็นอย่างโน้นอย่างนี้ แต่อาจนอกเหนือกว่านี้ อาจใช้คาร์บอนไดออกไซด์ที่ไม่ใช่ออกซิเจนหายใจก็ได้ เป็นการใช้กรอบมนุษย์โลกเป็นที่ตั้ง ทำให้แต่ละโครงการไม่ประสบความสำเร็จ”
.
ในกลุ่มคนที่เจอมนุษย์ต่างดาวเจอได้ในหลายรูปแบบ อาจในความฝันดูเหมือนไม่จริง แต่ก็มีอยู่จริงเห็นได้ในอีกมิติมีการสื่อสารระหว่างกัน หากมนุษย์ยังปิดกั้นตัวเองอยู่ คิดว่าใหญ่ที่สุดในจักรวาล จะทำให้มนุษย์ต่างดาวไม่ปรากฏให้เห็น ทั้งๆ มีอยู่ทั่วทั้งบนท้องฟ้า บนดินและใต้ดิน จะต้องมีใจที่เปิดกว้างจะสามารถเห็นมนุษย์ต่างดาวได้
.
ส่วนงานวิจัยที่บอกว่าโลกมีโอกาสถูกตรวจพบจากมนุษย์ต่างดาวเพียงแค่ 14 ครั้งต่อปีนั้น ในความจริงมีมากกว่านั้น สามารถเจอในทุกรูปแบบและสื่อสารในหลายวิธี หรือแม้แต่การทำสัญลักษณ์ และไม่ควรตั้งสมมติฐานว่ามนุษย์ต่างดาวยังไม่เข้ามาในโลก เพราะความเป็นจริงได้เข้ามาแล้ว ไม่ใช่อยู่นอกโลก
.
“สิ่งสำคัญอยู่ที่ใจต้องเปิด นอกเหนือความเชื่อของตัวเอง อย่างที่เขากะลา เพราะเปิดใจ เปิดการสื่อสาร จึงได้เจอ แต่คนทั่วไปหากยังลังเลสงสัย ถามว่าจะเจอได้อย่างไร อย่าเอาวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันมากำหนดกรอบ เพราะเป็นเรื่องเฉพาะคน หากกล้าพิสูจน์ก็เจอ แต่ต้องศึกษา และพิสูจน์ด้วยตัวเอง อย่าไปฟังเรื่องโฆษณาชวนเชื่อจะถูกหลอกได้ง่าย และอย่างมงาย”.


ที่มา https://www.thairath.co.th/scoop/theissue/2483456 

 


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STUDY TIMES
Take Me Top