Monday, 4 December 2023
NEWSFEED

“ยูเนสโก” เตือน!! อนาคตหลายเมืองในยุโรป โดนคลื่นยักษ์ถล่มแน่นอน

ผู้เชี่ยวชาญขององค์การเพื่อการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือ ‘ยูเนสโก’ ออกมาเตือนว่า มีโอกาส 100% ที่จะเกิดคลื่นสึนามิถล่มเมืองใหญ่รอบทะเลเมดิเตอร์เรเนียน
.
ยูเนสโก เน้นย้ำว่า อันตรายจากคลื่นสึนามิถูกประเมินต่ำเกินไปในบริเวณพื้นที่ชายฝั่งที่ไม่มักค่อยเผชิญกับสึนามิบ่อยนัก แต่ตอนนี้ความเสี่ยงดังกล่าวถูกมองว่า มีเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากระดับน้ำทะเลเพิ่มสูง
.
ทั้งนี้ หากย้อนไปเมื่อต้นปียูเนสโก ได้ประกาศว่า ชุมชนเสี่ยง 5 แห่งในแถบเมดิเตอร์เรเนียน อาจต้องเตรียมรับมือกับภัยสึนามิที่พร้อมจะลุกลามให้ได้ภายในปี 2030 ไม่ว่าจะเป็น มาร์เซยและคานส์ในฝรั่งเศส, อเล็กซานเดรียในอียิปต์, อิสตันบูลในตุรกี และชิพิโอนาในสเปน เพราะมีความเป็นไปได้ที่เมืองเหล่านี้จะมีโอกาสเผชิญคลื่นสูงกว่า 1 เมตรใน 30 ปีข้างหน้า บนความเป็นไปได้ถึง 100% อีกด้วย
.
ด้าน เบอร์นาโด เอเลียกา ผู้เชี่ยวชาญด้านสึนามิของยูเนสโก กล่าวอ้างถึงสึนามิก่อนหน้านี้ในมหาสมุทรอินเดียและญี่ปุ่นเมื่อพูดถึงเรื่องความพร้อม โดยเขากล่าวว่า “สึนามิในปี 2004 และ 2011 เป็นสัญญาณเตือน เราเตรียมพร้อมมาตลอดนับตั้งแต่ปี 2004 ถึงแม้ตอนนี้เราจะปลอดภัยกว่าเดิม แต่ยังมีช่องโหว่ในการเตรียมพร้อมอีกและเราต้องเร่งปรับปรุง เราต้องทำให้แน่ใจว่านักท่องเที่ยวและชุมชนจะเข้าใจสัญญาณเตือน”
.
เอเลียกา กล่าวว่า แม้ศูนย์เตือนภัยสึนามิ 12 ถูกจัดตั้งขึ้นครอบคลุมเกือบทั้งหมดของมหาสมุทร มี 5 แห่งในเมดิเตอร์เรเนียนและแอตแลนติกตะวันออกเฉียงเหนือ ในกรีซ, ตุรกี, อิตาลี, ฝรั่งเศส และโปรตุเกส แต่อันตรายจากสึนามิ ยังถูกประเมินต่ำอยู่ในพื้นที่ส่วนใหญ่ รวมถึงเมดิเตอร์เรเนียน ซึ่งไม่ได้เจอกับคลื่นสึนามิบ่อยนักและไม่มีการถ่ายทอดบทเรียนเหล่านี้จากรุ่นสู่รุ่น
.
“เราต้องส่งข้อความนี้ออกไป สำหรับในเมดิเตอร์เรเนียน คำถามไม่ใช่ว่าจะเกิดหรือไม่เกิดอีกต่อไปแล้ว แต่เป็นเมื่อไหร่ต่างหาก”
.
แม้ว่าสัญญาณเตือนจะทำงานได้อย่างถูกต้องแม่นยำ แต่เอเลียกา กล่าวว่า มันไม่ใช่สาระสำคัญทั้งหมด เพราะส่วนที่สำคัญคือการเตรียมความพร้อม ผู้คนจะปฏิบัติตัวยังไง ตอบสนองยังไง นั่นต่างหากคือสิ่งสำคัญ


ที่มา https://thestatestimes.com/post/2022081615 
 

เปิด 10 ตลาดอีคอมเมิร์ซขนาดใหญ่ของโลก

อีคอมเมิร์ซ (e-Commerce) เป็นปรากฏการณ์ “การซื้อ-ขาย” สินค้า ที่สร้างความเปลี่ยนแปลงอย่างสิ้นเชิงในเรื่องของรูปแบบการดำเนินชีวิต ทั้งในแง่ของ ผู้ซื้อ ผู้ขาย และการดำเนินธุรกิจในอุตสาหกรรมต่าง ๆ เป็นอย่างมาก การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นไม่ได้เป็นการเปลี่ยนแปลงแค่ประเทศใดประเทศหนึ่ง หรือภูมิภาคใดภูมิภาคหนึ่ง แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในทั่วโลก วันนี้จะพาไปรู้จักกับ 10 ประเทศผู้ทรงอิทธิพล จากการมีตลาดอีคอมเมิร์ซใหญ่ที่สุดในโลก กันดีกว่า
 .
1. สาธารณรัฐประชาชนจีน (CHINA)
มูลค่าการซื้อขายสินค้าออนไลน์: 672 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
อีคอมเมิร์ซ คิดเป็นส่วนแบ่งทางการตลาด ของอุตสาหกรรมค้าปลีก : 15.9%.
จีน ยักษ์ใหญ่แห่งวงการอีคอมเมิร์ซที่เป็นผู้ครองแชมป์ประเทศที่มีตลาดอีคอมเมิร์ซใหญ่ที่สุดในโลก โดยมี Alibaba group เป็นหัวเรือใหญ่โดยมีอัตราการเติบโตสูงถึงปีละ 35% และเป็นประเทศที่มีการเติบโตของตลาดอีคอมเมิร์ซที่รวดเร็วที่สุดในโลกอีกด้วย 
.
2. สหรัฐอเมริกา (United States)
มูลค่าการซื้อขายสินค้าออนไลน์: 340 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
อีคอมเมิร์ซ คิดเป็นส่วนแบ่งทางการตลาด ของอุตสาหกรรมค้าปลีก: 7.5%
หลังจากเป็นผู้นำแห่งวงการอีคอมเมิร์ซมานานนับทศวรรษ ตอนนี้สหรัฐอเมริกากลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ อันดับที่ 2 รองจากจีน วงการอีคอมเมิร์ซของสหรัฐฯ นั้น นำโดย Amazon และ eBay ที่อยู่ในวงการนี้มาอย่างยาวนาน ซึ่งสหรัฐฯ ถือเป็นประเทศที่มีการเติบโตของวงการอีคอมเมิร์ซที่เรียกได้ว่า Healthy แทบทุกมิติและเป็นต้นกำเนิดของหลากหลายนวัตกรรม
.
3. สหราชอาณาจักร (United Kingdom)
มูลค่าการซื้อขายสินค้าออนไลน์: 99 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
อีคอมเมิร์ซ คิดเป็นส่วนแบ่งทางการตลาด ของอุตสาหกรรมค้าปลีก: 14.5% 
แม้เป็นตลาดที่มีขนาดไม่เท่า 2 ยักษ์ใหญ่ในอันดับ 1 และ 2 นำโดย 3 แพลตฟอร์มยอดนิยมประจำประเทศอย่าง Amazon U.K., Argos และ Play.com โดยมีส่วนแบ่งทางการตลาดเมื่อเทียบกับอุตสาหกรรมค้าปลีกของประเทศนั้นไม่น้อยเลย เพราะกินส่วนแบ่งได้ถึง 14.5% เป็นรอง จีน เพียงแค่นิดเดียวเท่านั้น
.
4. ญี่ปุ่น (Japan)
มูลค่าการซื้อขายสินค้าออนไลน์: 79 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
อีคอมเมิร์ซ คิดเป็นส่วนแบ่งทางการตลาด ของอุตสาหกรรมค้าปลีก: 5.4%
ผู้นำแห่งตลาด “เอ็มคอมเมิร์ซ” หรือ m-Commerce (Mobile Commerce) หรือจะเรียกว่าเป็นอนาคตแห่งอีคอมเมิร์ซก็ว่าได้ แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซหลักคือ Rakuten เรียกได้ว่า นอกจากเป็นขาใหญ่ในประเทศบ้านเกิดแล้ว ยังขยายอาณาจักรไปสู่หลายประเทศจากการเข้าซื้อกิจการอีคอมเมิร์ซของประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกอีกด้วย
.
5. เยอรมนี (Germany)
มูลค่าการซื้อขายสินค้าออนไลน์: 73 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
อีคอมเมิร์ซ คิดเป็นส่วนแบ่งทางการตลาด ของอุตสาหกรรมค้าปลีก: 8.4%
เยอรมนี ถือเป็นตลาดอีคอมเมิร์ซที่ใหญ่เป็นอันดับที่ 2 ของยุโรป ที่เป็นรองเพียงสหราชอาณาจักรเท่านั้น ที่นำโดยแพลตฟอร์มชื่อดังระดับโลกอย่าง U.K. Amazon และ eBay และตามมาด้วยแพลตฟอร์มของประเทศอย่าง Otto นั่นเอง
.
6. ฝรั่งเศส (France)
มูลค่าการซื้อขายสินค้าออนไลน์: 43 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
อีคอมเมิร์ซ คิดเป็นส่วนแบ่งทางการตลาด ของอุตสาหกรรมค้าปลีก: 5.1%
ฝรั่งเศสมี 2 แพลตฟอร์มยอดฮิตของประเทศอย่าง Odigeo และ Cdiscount ถึงแม้แพลตฟอร์มยักษใหญ่ของโลกอย่าง Amazon จะตามมาติด ๆ ในแพลตฟอร์มยอดฮิตของประเทศนี้ แต่แพลตฟอร์มท้องถิ่นก็ยังคงพยายามที่จะรักษาความได้เปรียบและความเหนือกว่าแพลตฟอร์มคู่แข่งจากสหรัฐฯ เอาไว้ได้อยู่ดี 
.
7. เกาหลีใต้ (South Korea)
มูลค่าการซื้อขายสินค้าออนไลน์: 37 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
อีคอมเมิร์ซ คิดเป็นส่วนแบ่งทางการตลาด ของอุตสาหกรรมค้าปลีก: 9.8%
เกาหลีใต้ เป็นประเทศที่มีความเร็วของอินเทอร์เน็ตไร้สายที่เร็วที่สุดในโลก นอกจากจะมีมูลค่าตลาดอีคอมเมิร์ซสูงแล้ว ยังถือเป็นหนึ่งในผู้นำของ m-Commerce โลกที่น่าจับตามองอีกหนึ่งประเทศ โดยความยิ่งใหญ่ของตลาดอีคอมเมิร์ซที่นี่ นำโดย 2 แพลตฟอร์มยักษ์ใหญ่ของประเทศอย่าง Gmarket และ Coupang 
.
8. แคนาดา (Canada)
มูลค่าการซื้อขายสินค้าออนไลน์: 30 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
อีคอมเมิร์ซ คิดเป็นส่วนแบ่งทางการตลาด ของอุตสาหกรรมค้าปลีก: 5.7%
แม้ติด TOP10 ประเทศที่มีตลาดอีคอมเมิร์ซใหญ่ที่สุดในโลก แต่การแข่งขันของตลาดอีคอมเมิร์ซภายในแคนาดายังถือว่ามีการแข่งขันที่ไม่สูงนัก นำโดยแพลตฟอร์มใหญ่อย่าง Amazon และตามมาด้วย Costco ซึ่งจากการที่มีการแข่งขันที่ไม่สูง ทำให้แคนาดากลายเป็นดินแดนที่หลายแพลตฟอร์มทั่วโลก พยายามจะเข้ามาช่วงชิงส่วนแบ่งทางการตลาดนั่นเอง
.
9. รัสเซีย (Russia)
มูลค่าการซื้อขายสินค้าออนไลน์: 20 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
อีคอมเมิร์ซ คิดเป็นส่วนแบ่งทางการตลาด ของอุตสาหกรรมค้าปลีก: 2%
แม้จะเป็นประเทศที่มีจำนวนผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตมากที่สุดในยุโรป แต่ตลาดอีคอมเมิร์ซของประเทศนี้ยังถือว่าอยู่ในช่วงตั้งไข่ที่มีส่วนแบ่งของการซื้อขายในอุตสาหกรรมค้าปลีกอยู่ที่เพียง 2% เท่านั้น ซึ่งถือว่าน้อยที่สุดในบรรดาประเทศ TOP10 โดยแพลตฟอร์มยอดนิยมของประเทศนี้ ได้แก่ Ulmart, Citilink และ Ozon
.
10. บราซิล (Brazil)
มูลค่าการซื้อขายสินค้าออนไลน์: 19 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
อีคอมเมิร์ซ คิดเป็นส่วนแบ่งทางการตลาด ของอุตสาหกรรมค้าปลีก: 2.8%
ประเทศจากทวีปอเมริกาใต้เพียงประเทศเดียวที่สามารถเข้ามาติดโผล่ TOP10 ประเทศที่มีตลาดอีคอมเมิร์ซใหญ่ที่สุดในโลกได้ โดยมีอัตราการเติบโตของตลาดอีคอมเมิร์ซสูงถึง 22% ถึงแม้จะเป็นที่หมายตาของแพลตฟอร์มจากประเทศในโซนอเมริกาเหนือ แต่แพลตฟอร์มชั้นนำก็ยังคงเป็นแพลตฟอร์มของประเทศอย่าง MercadoLibre และ B2W


ที่มา : Knowledge Sharing / e-Commerce สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA)
 

#SMEDCoach: ปรับตัวรับ 4 พฤติกรรมผู้บริโภคออนไลน์ พ่อค้า แม่ค้าออนไลน์ ยุคใหม่ เซฟเก็บไว้เลย .

ในปีที่ผ่านมาโลกต้องเผชิญหน้ากับวิกฤตมากมาย  ปฏิเสธไม่ได้ว่าส่วนหนึ่งเป็นผลจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้เกิดผลกระทบในวงกว้าง ส่งผลให้พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เลือกซื้อสินค้าผ่านออนไลน์เพิ่มขึ้น โดยเจ้าของธุรกิจจึงควรศึกษาและรู้ทันเทรนด์พฤติกรรมของผู้บริโภค ปรับตัวและเริ่มศึกษาพฤติกรรมยุคใหม่ เพื่อนำข้อมูลเชิงลึกเหล่านี้มาปรับสินค้าและบริการให้ตอบโจทย์ผู้บริโภคอย่างแท้จริง 
.
1. #เน้นความเรียบง่ายดีต่อใจ คนยุคใหม่มักมีพฤติกรรมที่จริงจังกับการทำงาน ทุ่มเทเวลาให้แก่งานทำให้ชีวิตเต็มไปด้วยความเร่งรีบ และความกดดันจากสังคม เศรษฐกิจ ครอบครัว ที่ทำงาน จนเกิดความเหนื่อยล้าสะสม หรือบางคนอาจอยู่ในภาวะหมดไฟในการทำงาน (Burnout Syndrome) ทำให้พฤติกรรมผู้บริโภคออนไลน์กลุ่มนี้ต้องการมองหาบริการ หรือสินค้าที่จะพาพวกเขาหลุดพ้นจากปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น สร้างสมดุลในการใช้ชีวิต และที่สำคัญต้องช่วยให้การใช้ชีวิตง่ายขึ้น ไม่ควรมีตัวเลือกที่ทำให้ตัดสินใจยาก
.
2.#เน้นสร้างตลาดตอบโจทย์ความต้องการ ผู้บริโภคออนไลน์กลุ่มนี้มักเป็นกลุ่มคนที่มีความแตกต่างทางด้านกายภาพ พฤติกรรม ส่งผลให้มีความต้องการบางอย่างแตกต่างจากผู้บริโภคกลุ่มอื่น ซึ่งสินค้าที่มีอยู่ในตลาดอาจไม่ตอบโจทย์ความต้องการ หรือไม่สามารถเข้าถึงสินค้าได้เพราะข้อจำกัดด้านต่างๆ ทำให้คนกลุ่มนี้มองเห็นช่องว่างของตลาดและไม่ต้องการรอ จึงสร้างตลาดขึ้นมาเองและสนับสนุนซึ่งกันและกัน อาจเป็นในรูปแบบการสร้างเพจ Facebook หรือ Line OpenChat เพื่อเป็นตลาดขายของสำหรับกลุ่มคนที่มีความสนใจคล้ายกัน
.
3. #เน้นความเห็นอกเห็นใจ จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั่วโลกในปีที่ผ่านมา จะเห็นว่าการประท้วงในบางประเทศ สร้างความเสียหายแก่เศรษฐกิจอย่างรุนแรง ส่งผลให้เกิดความคิดเห็นที่แตกต่าง เกิดความรุนแรงขึ้นในสังคม นำไปสู่คนกลุ่มหนึ่งที่ต้องการประนีประนอม มีความฉลาดทางอารมณ์ ตลอดจนต้องการเห็นความเท่าเทียมในสังคม จึงเกิดพฤติกรรมผู้บริโภคออนไลน์ที่มีความรู้สึกเห็นอกเห็นใจ คำนึงถึงคนทุกกลุ่ม ไม่แบ่งแยกความสำคัญของคนกลุ่มใดมากกว่ากัน ผู้บริโภคกลุ่มนี้จึงเป็นกลุ่มที่น่าจับตามองเป็นอย่างมาก
.
4. #เน้นความสำคัญกับข้อมูล ทุกวันนี้ปฏิเสธไม่ได้ว่าคนหันมาใช้แท็บเล็ต สมาร์ทโฟนในชีวิตประจำวันมากขึ้น และแน่นอนว่าย่อมไม่พลาดการใช้สื่อออนไลน์แพลตฟอร์มต่างๆ แต่รู้หรือไม่ว่าในการใช้แพลตฟอร์มต่างๆ แต่ละครั้งจะมีการเก็บข้อมูลของอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลส่วนตัว พฤติกรรมการเล่น จนบางครั้งกลายเป็นการรุกล้ำความเป็นส่วนตัวของผู้บริโภค ดังนั้นจึงมีคนบางกลุ่มตระหนักถึงความเป็นส่วนตัว ความปลอดภัยในการให้ข้อมูล โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ที่มี digital footprint ทิ้งไว้บนโลกออนไลน์มากมาย ทั้งโดยรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตาม หากธุรกิจใดที่ทำข้อมูลหลุดจะทำให้คนกลุ่มนี้ไม่เชื่อใจ ไม่ซื้อสินค้า และพร้อมจะแบนแบรนด์ที่ไม่แสดงความโปร่งใสในทันที ไม่ว่าผลิตภัณฑ์นั้นๆ จะการันตีว่าดีแค่ไหนก็ตาม


ที่มา TOT SME-Tips
 

#SMEDCoach :  รู้จัก SCMAPER เครื่องมือช่วยพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ 

SCAMPER เป็นเครื่องมือหรือเทคนิคขั้นต้นแบบง่าย ๆ ที่จะช่วยพัฒนาความคิดสร้างสรรค์และผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ โดยจุดเด่นของวิธีการนี้คือ การตั้งคำถามเพื่อค้นหาคำตอบ ทำให้ได้ไอเดียใหม่ แนวทางใหม่ หรือสินค้าบริการใหม่ขึ้นมา SCAMPER เป็นเทคนิคที่พัฒนาขึ้น โดย อเล็กซ์ ออสบอร์น (Alex Osborn) เป็นคำย่อจาก 7 คำสำคัญ ดังนี้
.
S = Substitute (การทดแทน) การหาผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ๆ มาทดแทนผลิตภัณฑ์เดิมที่มีปัญหา หรือพัฒนาผลิตภัณฑ์เดิมที่มีอยู่ให้ดียิ่งขึ้น เช่น การเรียกแท็กซี่ผ่านแอปพลิเคชัน Grab จากเมื่อก่อนที่ผู้คนมีปัญหาในการเรียกรถแท็กซี่มักปฎิเสธผู้โดยสาร แต่เมื่อนำแอปพลิเคชัน มาใช้ก็สามารถแก้ไขปัญหาในส่วนนี้ได้ ทำให้เกิดความสะดวก และความพึงพอใจอย่างมากของผู้ใช้งาน
.
C = Combine (ผสมผสาน) เป็นการนำสิ่งสองสิ่งหรือมากกว่ามารวมกัน เพื่อให้เกิดสิ่งใหม่ขึ้นที่แตกต่างไปจากเดิม เช่น โทรศัพท์ในปัจจุบันสามารถผสมผสานฟังก์ชันการใช้งานได้หลากหลาย ทั้งกล้องถ่ายรูป ฟังเพลง เครื่องคิดเลข ตลอดจนการรับส่ง email
.
A = Adapt (การปรับใช้) ผลิตภัณฑ์หรือกระบวนการส่วนใดที่สามารถปรับเปลี่ยนแก้ไขเพื่อลบจุดอ่อน และเพิ่มโอกาสให้สินค้าบริการดียิ่งขึ้นได้บ้าง เช่น การปรับเปลี่ยนรูปแบบที่นั่งในโรงภาพยนตร์ เป็นแบบโซฟามีผ้าห่ม ให้ความรู้สึกเหมือนการนอนดูหนังที่บ้าน
.
M = Modify/Magnify/Minify (การปรับปรุง/ขยาย/ลด) ผลิตภัณฑ์สามารถเปลี่ยนแปลงคุณสมบัติ เพิ่มหรือลดคุณสมบัติส่วนไหนได้บ้าง เพื่อให้ผลิตภัณฑ์ใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เช่น การคิดค้นจอ LCD ทำให้จอทีวีในปัจจุบันมีขนาดเล็กลง เบาบางลงรวมถึงสามารถนำไปปรับใช้เป็นหน้าจอคอมพิวเตอร์ได้
.
P = Put to Other Uses (การประยุกต์ใช้) เป็นการประยุกต์ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่ไปใช้ประโยชน์ให้เข้ากับสิ่งอื่น เช่น การนำมูลสัตว์มาทำเป็นแก๊ส การนำห้องพักที่ว่างไม่ได้ใช้มาให้บริการปล่อยเช่าแก่คนที่สนใจ จะเห็นได้ว่าจากสิ่งเดิมที่มีอยู่ก็สามารถนำมาประยุกต์ใช้ให้สร้างประโยชน์กับเราได้
.
E = Eliminate (การตัดทิ้ง/การขจัดออก) การตัดบางส่วนของผลิตภัณฑ์ออกเพื่อให้สามารถใช้งานได้สะดวกยิ่งขึ้นหรือสามารถปรับเปลี่ยนรูปทรงของผลิตภัณฑ์บางอย่างให้รูปลักษณ์ดูสวยงามมากยิ่งขึ้น เช่น โทรศัพท์มือถือในปัจจุบันตัดเอาปุ่มกดออกและสามารถใช้แบบสัมผัสแทนการกดปุ่ม อีกทั้งรูปทรงยังมีความบางเบาสะดวกแก่การพกพา ทำให้ผู้ใช้งานประทับใจเป็นอย่างมาก
.
R = Rearrange/Reverse (การเรียงใหม่) เป็นการปรับเปลี่ยนกระบวนการใหม่หรือย้อนปรับกระบวนการ ซึ่งอาจจะทำให้เกิดสิ่งใหม่ที่ดีกว่าเดิม เช่น การออกแบบโทรศัพท์เปลี่ยนตัวแหน่งของไมโครโฟนและตำแหน่งช่องเสียบหูฟัง เพื่อให้สามารถรับเสียงได้ดีขึ้นและเกิดความสะดวกในการใช้งาน เป็นต้น


ที่มา ห้องเรียนผู้ประกอบการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย 

จีนยื่นขอจด "Rice-Fish Culture" เป็นมรดกเกษตรโลก

จีนยื่นขอจด "Rice-Fish Culture" เป็นมรดกเกษตรโลก (The Globally Important Agricultural Heritage Systems - GIAHS) ต่อองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาติ (FAO) มาตั้งแต่ปี 2005

การเลี้ยงปลาในนาข้าวของจีนไม่ใช่เป็นเพียงระบบเกษตรเท่านั้น แต่เป็นวัฒนธรรมที่สืบทอดมานานนับ 2,000 ปี โดยมีการขุดพบกระเบื้องดินเผาในสุสานของราชวงศ์ฮั่นตอนกลาง แสดงให้เห็นแผนผังปลาว่ายจากบ่อลงในนาข้าว
.
ระบบการเลี้ยงปลาในนาข้าวเป็นระบบเกษตรผสมผสานที่่สมบูรณ์แบบในอุดมคติ ปลาให้ปุ๋ยแก่ข้าว ควบคุมภูมิอากาศย่อยในระบบนิเวศ การแหวกว่ายของปลาช่วยเพิ่มออกซิเจน พรวนดิน กำจัดตัวอ่อนของแมลงศัตรูพืชและวัชพืช ถ่ายออกมาเป็นปุ๋ย ในขณะที่ข้าวให้ร่มเงาและสร้างอาหารให้ปลา การใช้ปุ๋ยและสารเคมีกำจัดศัตรูพืชแทบเป็นศูนย์ แต่ได้อาหารที่มีคุณภาพและคุณค่าสูง
.
การศึกษาของ FAO ในประเทศจีนพบว่า แทนที่ผลผลิตข้าวจะลดลงแต่กลับเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 10% ในขณะที่ผลผลิตข้าวที่เลี้ยงปลาในนาข้าวของอินโดนีเซียเพิ่มขึ้น 10-20% ไม่รวมผลผลิตจากปลา 192-260 กิโลกรัม/ไร่ 
.
ในบริบทของประเทศไทย ระบบเกษตรที่เรียบง่ายแต่แฝงความสัมพันธ์ทางนิเวศวิทยาที่ซับซ้อนนี้  มีความสำคัญหลายประการ
1) การเลี้ยงปลาในนาข้าวในเขตน้ำน้อย เป็นอุบายในการสร้างสระเก็บน้ำและระบบชลประทานในระดับไร่นา ซึ่งเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพของพื้นที่เกษตรในนาน้ำฝน ในขณะเดียวกันก็เหมาะกับในพื้นที่น้ำท่วม หรือพื้นที่ชลประทานที่จะสามารถใช้ประโยชน์จากน้ำในการเลี้ยงปลาไปพร้อมกับการทำนา
2) เป็นรูปแบบที่ตอบสนองต่ออาหารขั้นพื้นฐาน คือคาร์โบไฮเดรตจากข้าว โปรตีนจากปลา และได้พืชผักต่างๆเป็นผลพลอยได้จากระบบนิเวศนาที่อุดสมบูรณ์ไปพร้อมกัน
3) เป็นระบบการผลิตที่ปลอดภัยจากสารเคมีกำจัดศัตรูพืช เกษตรกรไม่มีโอกาสสัมผัสสารเคมีกำจัดวัชพืช  และผู้บริโภคไม่เสี่ยงจากการได้รับสารเคมีตกค้างในอาหาร
4) ได้ผลผลิตทั้งข้าวและปลาในพื้นที่นาแปลงเดียวกัน มิหนำซ้ำผลผลิตจากข้าวยังเพิ่มขึ้นด้วย
5) ยืดหยุ่นต่อภาวะผันผวนของราคาสินค้าเกษตร เช่น เมื่อราคาข้าวตกต่ำ ก็ได้รายได้จากปลาแทน เช่น หากข้าวราคาต่ำมากๆ เกษตรกรบางรายอาจเปลี่ยนข้าวเปลือกจากนาเป็นอาหารให้ปลาไปเลยก็ได้ 
6) การเลี้ยงปลาในนาข้าวยังเป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนารูปแบบเกษตรกรรมผสมผสานอื่นๆได้ด้วยในอนาคต เช่น การพัฒนาบางส่วนเป็นสวนยกร่อง ปลูกไม้ผล เป็นต้น
7) ในเชิงกลยุทธ พื้นที่ทำนาคิดเป็นครึ่งหนึ่งของพื้นที่การเกษตรทั้งหมด การปรับเปลี่ยนผืนนาเชิงเดี่ยวให้เป็นการเลี้ยงปลาในนาข้าว หากทำสำเร็จ เท่ากับเปลี่ยนพื้นที่การเกษตรส่วนใหญ่ของประเทศไปสู่เกษตรกรรมที่ยั่งยืนนั่นเอง
.
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ท้าทายสำคัญคือ ระบบเกษตรกรรมเช่นนี้ต้องมีการใช้แรงงานเพิ่มขึ้น ใช้เวลาในไร่นามากขึ้น ลงทุนเพิ่ม  หรือต้องปรับเปลี่ยนพื้นที่เกษตร เป็นต้น
.
.
งบประมาณด้านชลประทานมหาศาลปีละหลายหมื่นล้าน หากสามารถปรับเปลี่ยนเพื่อสร้างระบบการเก็บกักน้ำในเขตนาน้ำฝน หรือการจัดการพื้นที่และระบบชลประทานเพื่อให้เหมาะสมกับการเลี้ยงปลาในนาข้าว แทนที่จะมุ่งสร้างแหล่งเก็บน้ำและชลประทานขนาดใหญ่เพื่อตอบสนองต่อการผลิตเชิงเดี่ยวดังที่เป็นอยู่ ระบบเกษตรกรรมของประเทศไทยอาจปรับเปลี่ยนไปสู่ระบบเกษตรกรรมที่ยั่งยืนได้มากกว่านี้


ที่มา https://www.facebook.com/Biodiversity.Agroecology/posts/182779294163903 
 

คลิปหลุดทำไง ? รัฐเปิดเว็บช่วยเหยื่อพร้อมให้คำแนะนำ

รัฐบาลเปิดตัวเว็บไซต์สำหรับช่วยเหลือ และให้คำแนะนำในการแจ้งเหตุเรื่องล่วงละเมิดทางเพศต่อเด็กทางอินเทอร์เน็ต แก่เด็กและผู้ปกครอง www.คลิปหลุดทำไง.com หรือ www.help.ticac.org 
.
เมื่อเวลา 08.45 น. ของวันที่ 16 ส.ค.ที่บริเวณโถงกลาง ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เยี่ยมชมกิจกรรมประชาสัมพันธ์ “เปิดตัวเว็บไซต์สำหรับช่วยเหลือและให้คำแนะนำในการแจ้งเหตุเรื่องล่วงละเมิดทางเพศต่อเด็กทางอินเทอร์เน็ต แก่เด็กและผู้ปกครอง” www.คลิปหลุดทำไง.com หรือ www.help.ticac.org ในโครงการแก้ไขจัดการปัญหาการล่วงละเมิดทางเพศต่อเด็กทางอินเทอร์เน็ต ภายใต้โครงการประชารัฐยุติธรรมนำเด็กปลอดภัย ซึ่งสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี สำนักงานบริหารนโยบายของนายกรัฐมนตรี (สบนร.) ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งสถาบันพระปกเกล้า โครงการฮัก ภายใต้มูลนิธิสานสัมพันธ์ครอบครัวร่วมกันดำเนินโครงการและกิจกรรมดังกล่าวขึ้น ตามนโยบายนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลที่ให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาสื่อลามกอนาจารเด็กออนไลน์ โดยได้ตรากฎหมายเพิ่มเติม ใน ป.อาญา มาตรา 287/1 และ 287/2 เพื่อเป็นเครื่องมือในการแก้ไขและจัดการปัญหาการครอบครองและเผยแพร่สื่อลามกอนาจารเด็ก ซึ่งเป็นหนึ่งในรูปแบบของปัญหาการค้ามนุษย์ที่นายกรัฐมนตรีได้ประกาศนโยบาย “ต่อต้านการค้ามนุษย์” ให้เป็นวาระแห่งชาติ โดย นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ในฐานะรักษาการแทนผู้อำนวยการสำนักงานบริหารนโยบายของนายกรัฐมนตรี (ผอ.สบนร.) นำเยี่ยมชมกิจกรรมเปิดตัวเว็บไซต์ www.คลิปหลุดทำไง.com หรือ www.help.ticac.org โดยมี พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายดิสทัต โหตระกิตย์ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี พล.ต.ท. สุรเชษฐ์ หักพาล ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ/หัวหน้าชุดปฏิบัติการ TICAC และผู้เกี่ยวข้องเข้าร่วมด้วย  
 .
นายกรัฐมนตรี รับฟังรายงานภาพรวมการดำเนินโครงการฯ และการจัดทำเว็บไซต์ช่วยเหลือรับเรื่องและประสานงานสหวิชาชีพ รวมทั้งการจัดทำหลักสูตรอบรมให้แก่ผู้รับแจ้งเหตุและทีมสหวิชาชีพและการจัดทำหนังสือเผยแพร่ให้ความรู้ Xposed เมื่อคลิปหลุด โดยนายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ในฐานะ ผอ.สบนร. ได้กล่าวถึงวัตถุประสงค์ของการดำเนินโครงการฯ และการจัดทำเว็บไซต์ว่า เป็นไปตามนโยบายนายกรัฐมนตรีที่ได้มอบนโยบายให้หน่วยงานต่าง ๆ ช่วยกันดูแลเด็กและเยาวชนในเรื่องของการถูกละเมิดทางเพศ และมีการนำข้อมูลและภาพต่าง ๆ ไปเผยแพร่ผ่านทางอินเทอร์เน็ตและสื่อออนไลน์ต่าง ๆ ให้เกิดผลเป็นรูปธรรม และสามารถดูแลช่วยเหลือเด็กและเยาวชนที่ถูกละเมิดทางเพศได้อย่างแท้จริง สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี สำนักงานบริหารนโยบายของนายกรัฐมนตรี จึงได้ร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งองค์กรภาครัฐ เอกชน มูลนิธิและองค์กรต่าง ๆ ดำเนินโครงการแก้ไขจัดการปัญหาการล่วงละเมิดทางเพศต่อเด็กทางอินเทอร์เน็ต ภายใต้โครงการประชารัฐยุติธรรมนำเด็กปลอดภัยและจัดทำเว็บไซต์ www.คลิปหลุดทำไง.com หรือ www.help.ticac.org สำหรับช่วยเหลือและให้คำแนะนำในการแจ้งเหตุเรื่องล่วงละเมิดทางเพศต่อเด็กทางอินเทอร์เน็ต แก่เด็กและผู้ปกครองขึ้น เพื่อให้สอดคล้องตามข้อสั่งการและนโยบายนายกรัฐมนตรี โดย สบนร. จะถ่ายโอนภารกิจเว็บไซต์ดังกล่าวให้ทาง TICAC ที่อยู่ในศูนย์พิทักษ์เด็ก สตรี ครอบครัว ป้องกันการปราบปรามการค้ามนุษย์ และภาคประมง (ศพดส.ตร.) ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ รับภารกิจให้ดูแลต่อไป
 .
นายกรัฐมนตรี ย้ำว่าสถานการณ์ความรุนแรงของปัญหาสื่อลามกอนาจารเด็กผ่านออนไลน์เป็นเรื่องที่รัฐบาลตระหนักและให้ความสำคัญในการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น เพราะส่งผลกระทบอย่างมากต่อผู้ที่ได้รับความเสียหายในการทำให้เสียชื่อเสียงและเกียรติยศทั้งต่อตนเองและครอบครัว ดังนั้นทุกฝ่ายในสังคมต้องช่วยกันหาวิธีและแนวทางป้องกันไม่ให้เกิดขึ้น รวมทั้งประชาชนทุกคนต้องระมัดระวังการจัดเก็บข้อมูลส่วนบุคคลให้ดีและรู้จักใช้เทคโนโลยีต่าง ๆ และโทรศัพท์อย่างรู้เท่าทันทั้งการถ่ายภาพ ถ่ายคลิป และการเผยแพร่ข้อมูลต่าง ๆ ไปในสื่อโชเชียลมีเดียหรือสื่อออนไลน์ เพื่อให้การใช้เทคโนโลยีเกิดประโยชน์และปลอดภัย รวมไปถึงต้องบริหารจัดการข้อมูลที่มีประสิทธิภาพภายหลังการยกเลิกการใช้โทรศัพท์หรือหรือเทคโนโลยีอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้อื่นนำข้อมูลส่วนตัวไปเผยแพร่ ทั้งโดยรู้ตัวและไม่รู้ตัว อันจะนำมาซึ่งปัญหาที่ทำให้เกิดการเสียหายต่อชื่อเสียงของตนเองและครอบครัวตามมาภายหลังได้
 .
นายกรัฐมนตรี ชื่นชมการดำเนินโครงการแก้ไขจัดการปัญหาการล่วงละเมิดทางเพศต่อเด็กทางอินเทอร์เน็ต ภายใต้โครงการประชารัฐยุติธรรมนำเด็กปลอดภัย และการจัดทำเว็บไซต์ www.คลิปหลุดทำไง.com หรือ www.help.ticac.org เพื่อช่องทางในการสื่อสารให้ข้อมูล ให้คำแนะนำปรึกษาและการร้องเรียนแก่เด็กผู้ปกครอง หรือเจ้าหน้าที่ในเบื้องต้นเพื่อช่วยเหลือเด็กและเยาวชนผู้เสียหายจากการล่วงละเมิดทางเพศและการเผยแพร่ข้อมูลที่ไม่เหมาะสม พร้อมย้ำว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับการคุ้มครองข้อมูลและสิทธิส่วนบุคคลอย่างยิ่งโดยได้มีการออกกฎหมายที่เกี่ยวข้องในการดูแลรื่องนี้ให้เกิดผลเป็นรูปธรรมแล้ว รวมทั้งฝากให้ทุกฝ่ายย้ำเตือนประชาชนในการใช้โทรศัพท์อย่างปลอดภัย และให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการเรื่องนี้จริงจังให้เกิดผลสำเร็จตามเป้าหมายที่กำหนดไว้
 .
สำหรับ “โครงการแก้ไขจัดการปัญหาการล่วงละเมิดทางเพศต่อเด็กทางอินเทอร์เน็ต ภายใต้โครงการประชารัฐยุติธรรมนำเด็กปลอดภัย” มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาวิเคราะห์ปัจจัย ประเด็นปัญหา และแนวทางการแก้ไขปัญหา เพื่อหาแนวทางการทำงานแบบบูรณาการร่วมกันของหน่วยงาน ทั้งภาครัฐและประชาสังคม รวมทั้งเพื่อสร้างต้นแบบ “เว็บไซต์” ช่องทางในการสื่อสารให้ข้อมูล ให้คำแนะนำปรึกษาและการร้องเรียน แก่เด็กผู้ปกครองหรือเจ้าหน้าที่ในเบื้องต้น และช่องทางการประชาสัมพันธ์ข้อมูลข่าวสารที่เหมาะสมเกี่ยวกับ “การได้รับความร่วมมือจากกระทรวง กรม กองต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมกันเป็นทีมสหวิชาชีพ” ภายในเว็บไซต์ดังกล่าว เพื่อช่วยเหลือเด็กผู้เสียหายเป็นรูปธรรมตามนโยบายของรัฐบาล รวมทั้งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้จัดตั้งคณะทำงานปราบปรามการล่วงละเมิดทางเพศต่อเด็กทางอินเทอร์เน็ต (Thailand Internet Crimes Against Children หรือ TICAC) เพื่อปราบปรามจับกุมผู้กระทำผิดที่ครอบครอง และแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบจากสื่อลามกอนาจารเด็กทางอินเทอร์เน็ต ตามนโยบายของรัฐบาลด้วย ทั้งนี้ ประชาชนสามารถแจ้งเหตุเรื่องล่วงละเมิดทางเพศต่อเด็กทางอินเทอร์เน็ตได้ผ่านทางเว็บไซต์ www.คลิปหลุดทำไง.com หรือ www.help.ticac.org)


ที่มา https://www.khaosod.co.th/politics/news_7215156 
 

CPN ผนึก ปตท.-อีโวลท์ ผุดที่ชาร์จรถอีวีในเซ็นทรัล 37 แห่ง

เซ็นทรัลพัฒนาจับมือกลุ่ม ปตท.ภายใต้แบรนด์ ‘ออน-ไอออน’ (on-ion) เดินหน้า The Future of eMobility Lifestyle อัดงบลงทุนกว่า 200 ล้านบาทขยายความร่วมมือให้บริการสถานีอัดประจุสำหรับยานยนต์ไฟฟ้า (on-ion EV Charging Station) ในศูนย์การค้าของเซ็นทรัลพัฒนากว่า 350 ช่องจอด นอกจากนี้ยังเสริมทัพด้วย บริษัท อีโวลท์ เทคโนโลยี จำกัด ร่วมขยายสถานีกว่า 50 ช่องจอด รวมกว่า 400 ช่องจอด ภายในสิ้นปี 2565 นี้
.
นางสาววัลยา จิราธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “เพื่อตอบรับเทรนด์ EV ที่คนไทยหันมาให้ความสำคัญต่อการใช้รถไฟฟ้ามากขึ้น เราจึงได้ร่วมมือกับพันธมิตรกลุ่มธุรกิจพลังงานรายใหญ่ ร่วมขยายสถานีฯ ในศูนย์การค้าเซ็นทรัลกว่า 400 ช่องจอดภายในสิ้นปีนี้ ซึ่งถือว่ามากที่สุดและเป็นเบอร์ 1 ในกลุ่มศูนย์การค้าของไทย โดยเฟสแรกคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในเดือนตุลาคม 2565 ตอบรับการเดินทางในทุกๆ วัน (short haul) หรือจะเดินทางแบบเมืองเชื่อมเมือง (long haul) สะท้อนความเป็นศูนย์กลางของทุกจังหวัด ท่องเที่ยวได้จากเหนือจดใต้ ผ่าน 37 สาขา กว่า 18 จังหวัดทั่วประเทศ
.
สำหรับความโดดเด่นของจุดชาร์จรถไฟฟ้าในเซ็นทรัล คือ... 
.
1.) จุดชาร์จครอบคลุมทั่วประเทศ ทำให้เกิด Worry-Free Journey การเดินทางแบบไร้กังวล
.
2.) ความสะดวกสบาย ชาร์จไฟกับรถยนต์ได้ทุกแบรนด์ ทุกค่าย
.
3.) สถานที่และระบบชาร์จมีมาตรฐานและความปลอดภัยสูง
.
4.) ได้รับสิทธิประโยชน์มากมายจากกลุ่มเซ็นทรัล ส่งเสริม Eco-lifestyle Marketing ทั้งโปรโมชัน และส่วนลด เช่น ชาร์จฟรี 1 ชั่วโมงแรก เมื่อช้อปในศูนย์การค้าครบ 800 บาท สิทธิพิเศษมีจำนวนจำกัด เฉพาะ 1 เดือนแรก เพื่อสนับสนุนการใช้รถ EV ให้กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของคนไทย และร่วมกันดูแลโลกและสิ่งแวดล้อม พร้อมต่อยอดตามดีมานด์ของลูกค้าในอนาคต และขยายสู่ธุรกิจอื่นๆ เช่น ที่อยู่อาศัย, โรงแรม และอาคารสำนักงานโดยคาดว่าจะมีส่วนช่วยในการลดการปลดปล่อยก๊าซ CO2 ให้ประเทศไทยได้มากกว่า 5,250 ตันต่อปี 
.
ขณะที่ นายนพดล ปิ่นสุภา ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการกลุ่มธุรกิจใหม่และโครงสร้างพื้นฐาน บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า กลุ่ม ปตท. โดย บริษัท อรุณ พลัส จำกัด (ARUN PLUS) ได้ขยายสถานีอัดประจุสำหรับยานยนต์ไฟฟ้า ภายใต้แบรนด์ ออน-ไอออน (on-ion EV Charging Station) บนทำเลศักยภาพร่วมกับเซ็นทรัลพัฒนา รองรับการเติบโตของตลาด EV ให้พลังงานทางเลือกอยู่ใกล้ตัวกว่าที่คิด ในรูปแบบของ ‘Green Charging Network’ ผ่าน on-ion Mobile Application
.
“การจับมือกับเซ็นทรัลพัฒนาในครั้งนี้นับเป็นก้าวสำคัญในการขับเคลื่อนการลงทุนด้านนวัตกรรมพลังงานอนาคต เป็นความร่วมมือระหว่างบริษัทชั้นนำของประเทศไทยในด้านพลังงานและด้านพัฒนาศูนย์การค้า สร้างความมั่นคงด้านพลังงานแห่งอนาคต และผู้ใช้ EV เกิดความมั่นใจว่าสามารถเดินทางทั่วไทยได้อย่างไร้กังวลเรื่องแบตเตอรี่หมดระหว่างทาง ซึ่งผู้ใช้ EV ที่ใช้บริการชาร์จไฟที่สถานีของออน-ไอออน จะมั่นใจได้ว่าพลังงานไฟฟ้าที่ได้รับเป็นพลังงานสะอาดที่มาจากแหล่งพลังงานหมุนเวียน 100% ด้วยการออกใบรับรองการใช้พลังงานหมุนเวียน หรือ Renewable Energy Certificates (RECs) และเป็นพลังงานหมุนเวียนที่ผลิตในประเทศไทยทั้งหมด นอกจากนี้ ผู้ใช้บริการซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการสนับสนุนการใช้พลังงานสะอาดจะได้รับสิทธิพิเศษต่างๆ อีกมากมาย” นายนพดล กล่าว 
.
ด้าน นายพูนพัฒน์ โลหารชุน ประธานกรรมการบริหาร บริษัท อีโวลท์ เทคโนโลยี จำกัด กล่าวว่า การก้าวสู่สังคมคาร์บอนต่ำ (Low Carbon Society) ถือเป็นหนึ่งในพันธกิจของเราที่ใช้พลังงานสะอาดและผลักดันแนวคิดขับเคลื่อนด้วยระบบไฟฟ้าในอนาคต (E-mobility to drive the future) นอกจากนี้ยังให้ความสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและประเทศให้ใส่ใจสิ่งแวดล้อมควบคู่กันอีกด้วย สถานีชาร์จยานยนต์ไฟฟ้า (EV Charging Station) ถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญของการวางรากฐานให้ธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้าแข็งแรงขึ้น ซึ่งการร่วมมือกับเซ็นทรัลพัฒนาในครั้งนี้นับเป็นการร่วมมือครั้งสำคัญเพื่อเพิ่มศักยภาพในการขยายเครือข่ายสถานีชาร์จให้ผู้ใช้ยานยนต์ไฟฟ้าให้แข็งแกร่งและครอบคลุมมากขึ้น เข้าถึงสถานีชาร์จได้ง่ายขึ้น
.
“อีโวลท์ ในฐานะผู้ให้บริการสถานีชาร์จยานยนต์ไฟฟ้าแบบครบวงจร มุ่งขยายเครือข่ายสถานีชาร์จเพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ At Home, At Work, At Play, At Travel ซึ่งเซ็นทรัลพัฒนาเป็นศูนย์การค้าชั้นนำที่มีโลเกชันใจกลางเมืองและจังหวัดหลักในแต่ละภูมิภาคที่ดี (Prime Location) และอีโวลท์ที่จะเข้ามาช่วยเติมเต็มและเสริมความแข็งแกร่งในส่วนของการขยายเครือข่ายสถานีชาร์จในศูนย์การค้าเพื่อรองรับไลฟ์สไตล์ของผู้ใช้งาน At Play โดยพร้อมเปิดให้ใช้บริการเต็มรูปแบบภายในปี 2565 ผ่าน EVolt Application ทั้งระบบ iOS และ Android พร้อมทีมงานที่ช่วยให้คำปรึกษาอย่างรวดเร็วตลอด 24 ชม.ผ่านทุกช่องทาง ทั้ง Call Center 0-2114-7343 หรือ Line: @evolt_th” นายพูนพัฒน์ กล่าว


ที่มา https://thestatestimes.com/post/2022081722 
 

ธีรวีร์ เจริญศึกษา นักเรียนจ่าทหารเรือ จิตอาสาช่วยเหลือผู้ประสบอุบัติเหตุ

เมื่อวันที่ 15 ส.ค. 65 นาวาเอก พรพิชิต สุวรรณศิริ ผู้อำนวยการโรงเรียนนาวิกเวชกิจ กรมแพทย์ทหารเรือ ทำพิธีมอบประกาศเกียรติคุณ เชิดชูความดี แด่ นักเรียนจ่าทหารเรือ ธีรวีร์ เจริญศึกษา นักเรียนจ่าทหารเรือ พรรคพิเศษ เหล่าทหารแพทย์ ชั้นปีที่ 2 เนื่องจากเป็นผู้มีจิตอาสาสละแรงกาย เวลาและสติปัญญา ในการเข้าช่วยเหลือผู้ประสบอุบัติเหตุร้ายแรงบนท้องถนน ที่จังหวัดระยอง
.
นักเรียนจ่า ธีรวีร์ เจริญศึกษา เปิดเผยว่า เมื่อวันเสาร์ที่ 13 สิงหาคม 2565  ตนได้เดินทางกลับบ้านที่จังหวัดระยอง เพื่อไปหาบิดา มารดา เนื่องจากเป็นวันหยุดพักประจำสัปดาห์  ต่อมาในเวลา 20.00 น. ระหว่างที่ตนกำลังนั่งรับประทานอาหารค่ำอยู่กับมารดา ก่อนเข้าบ้าน ตนได้ยินเสียงดัง "โครม" ที่บริเวณถนนใหญ่หน้าร้าน ตนได้ชะเง้อมองแต่ไม่เห็นอะไร และเพียงครู่เดียวก็ได้ยินเสียงคนร้องให้ช่วย 
.
จากการปลูกฝังความเป็นสุภาพบุรุษทหารเรือมาอย่างดี จากคุณพ่อที่เป็น Navy SEAL ของกองทัพเรือ (นาวาตรี นพรัตน์ มีสุข) และคุณแม่นางสาว สรัลชนา เจริญศึกษา (หัวหน้าฝ่ายกองสวัสดิการ เทศบาลตำบลมาบข่า อำเภอนิคมพัฒนา) ตนจึงตัดสินใจลุกออกจากโต๊ะอาหารไปดู จึงเห็นรถจักรยานยนต์ชนกับรถจักรยานยนต์พ่วงข้างบริเวณจุดกลับรถบนถนนใหญ่หน้าร้านที่ตนนั่งอยู่ และเห็นชายไทยวัยรุ่นอายุประมาณ 15 ปี นอนนิ่งอยู่บริเวณที่เกิดเหตุ และไม่สนองตอบต่อการประเมินความรู้สึกตัว 
.
ตนจึงใช้ความรู้ที่ได้รับการอบรมศึกษาจากคณะครูโรงเรียนนาวิกเวชกิจฯ มาอย่างดี ทำการประคองคอและศีรษะของผู้ประสบเหตุ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการบาดเจ็บเพิ่มเติมจากการถูกกระดูกกดทับเส้นประสาท ซึ่งจะเป็นอันตรายร้ายแรงกับตัวผู้ประสบอุบัติเหตุ
.
พร้อมกับบอกให้ผู้ที่อยู่บริเวณใกล้เคียงโทรฯ แจ้งเหตุกับ 1669 มารับช่วงต่อการปฐมพยาบาลเพื่อส่งผู้บาดเจ็บไปโรงพยาบาลต่อไป 
.
น.อ.พรพิชิต กล่าวว่า สิ่งที่ นรจ.ธีรวีร์ ได้ใช้วิชาความรู้ที่ได้รับจากคณะครู โรงเรียนนาวิกเวชกิจ ไปใช้ในการช่วยเหลือผู้ประสบอุบัติเหตุครั้งนี้ นับว่าเป็นการกระทำที่น่ายกย่อง และต้องเชิดชูเพื่อให้เป็นแบบอย่างกับเพื่อนและรุ่นน้องในการที่จะไม่นิ่งนอนใจในการใช้ความรู้ให้เกิดประโยชน์กับเพื่อนมนุษย์ต่อไป


ที่มา https://thestatestimes.com/post/2022081517 
 

กฤษฏ์ สุวรรณไพบูลย์ คว้าเหรียญทองแดง การแข่งขันคอมพิวเตอร์โอลิมปิก ฯ 2565 ที่อินโดนีเซีย

"นักเรียนชั้นม.6 KVIS (กำเนิดวิทย์) คว้ารางวัลเหรียญทองแดง จากการแข่งขันคอมพิวเตอร์โอลิมปิกระหว่างประเทศ ครั้งที่ 35 ประจำปี พ.ศ. 2565 (International Olympiad in Informatics 2022: IOI 2022) ณ เมืองยอกยาการ์ตา สาธารณรัฐอินโดนีเซีย"
.
ขอแสดงความยินดี กับนักเรียนชั้นม.6 โรงเรียนกำเนิดวิทย์ นายกฤษฏ์ สุวรรณไพบูลย์ ได้รับรางวัลเหรียญทองแดง จากการแข่งขันคอมพิวเตอร์โอลิมปิกระหว่างประเทศ ครั้งที่ 35 ประจำปี พ.ศ. 2565 (International Olympiad in Informatics 2022 : IOI 2022) ระหว่างวันที่ 7 - 15 สิงหาคม 2565 ณ เมืองยอกยาการ์ตา สาธารณรัฐอินโดนีเซีย
.
การแข่งขันคอมพิวเตอร์โอลิมปิกระหว่างประเทศ ครั้งที่ 35 ประจำปี พ.ศ. 2565 มีผู้เข้าร่วมแข่งขันทั้งหมด 349 คน จาก 88 ประเทศ (ผู้ได้รับเหรียญทอง จำนวน 30 คน เหรียญเงิน จำนวน 58 คน และเหรียญทองแดง จำนวน 88 คน) ซึ่งผู้เข้าแข่งขันจากประเทศไทย จำนวน 4 คน มีผลการแข่งขัน ดังนี้
1. นายกฤษฏ์ สุวรรณไพบูลย์ โรงเรียนกำเนิดวิทย์ ได้รับรางวัลเหรียญทองแดง
2. นายเขมนันท์ มณีศรี โรงเรียนประจวบวิทยาลัย ได้รับรางวัลใบประกาศเข้าร่วมแข่งขัน
3. นายพิทักษ์พงศ์ กปิญชรานนท์ โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย ได้รับรางวัลใบประกาศเข้าร่วมแข่งขัน
4. นายโมกข์ วรรธนะโสภณ โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ ได้รับรางวัลใบประกาศเข้าร่วมแข่งขัน
.
ขอแสดงความยินดี กับนายกฤษฏ์ สุวรรณไพบูลย์ ที่ได้รับรางวัลจากการแข่งขันนี้ด้วยค่ะ


ที่มา https://stats.ioinformatics.org/olympiads/2022 
 

Grab มอบทุนการศึกษาแก่นักเรียนในอาเซียน นำร่องแล้วที่อินโดฯ สิงคโปร์ และไทยคือคิวต่อไป

Grab บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่สัญชาติสิงคโปร์ ผู้ให้บริการเรียกรถรับส่ง ขนส่ง และสั่งอาหารผ่านแอปพลิเคชันบนมือถือได้ประกาศตั้งกองทุนการศึกษา ที่ชื่อว่า "GrabScholar" มูลค่า 1 ล้านเหรียญเป็นประจำทุกปีนับจากนี้ ในวันเปิดสำนักงานใหญ่ในสิงคโปร์วันนี้
.
ซึ่งการมอบทุนการศึกษานี้ เป็นส่วนหนึ่งของ GrabForGood Fund กองทุนที่มุ่งเน้นในการยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของกลุ่มผู้ขับขี่ให้กับ Grab และเจ้าของร้านค้าที่อยู่ในเครือข่ายของบริษัท รวมถึงชุมชนอื่นๆในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
.
โดย Grab ตั้งเป้าว่าจะให้ทุนการศึกษาในระดับมหาวิทยาลัยมากกว่า 2,000 ทุน และ ทุนช่วยเหลือด้านการศึกษาอื่นๆ ในกลุ่มประเทศอาเซียนที่ Grab ดำเนินธุรกิจอยู่ ซึ่งในปัจจุบันมีอยู่ 8 ประเทศ ได้แก่ สิงคโปร์ มาเลเซีย กัมพูชา อินโดนีเซีย พม่า ฟิลิปปินส์ เวียดนาม และไทย
.
กองทุนด้านการศึกษาของ Grab จะครอบคลุมค่าเทอม และค่าใช้จ่ายทางการศึกษา สำหรับนักเรียนที่ด้อยโอกาสในทุกระดับตั้งแต่ ประถม มัธยม อาชีวะ จนถึง มหาวิทยาลัย นอกจากนี้ Grab ยังวางแผนที่จะเปิดรับนักศึกษาฝึกงานเพื่อพัฒนาทักษะในการทำงาน ก่อนที่จะเจอสนามจริงหลังจากจบการศึกษาในอนาคต
.
โครงการ GrabScholar เปิดตัวนำร่องไปแล้วในอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นการต่อยอดจากกองทุนการศึกษาของ Grab ที่จะมอบให้แก่ลูกๆของชาว Grab ไรเดอร์ และเจ้าของร้านค้าที่ร่วมในเครือของ Grab ซึ่งกองทุนการศึกษานี้กำลังขยายสู่ชาว Grab ในสิงคโปร์  ไทย และชุมชนอื่นๆทั่วภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
.
ไม่เฉพาะแค่กลุ่มนักเรียน นักศึกษา แต่ที่สำนักงานใหญ่ของ Grab ในสิงคโปร์ เตรียมเปิด GrabMerchant Centre ศูนย์ฝึกอบรม และให้คำปรึกษาแบบตัวต่อตัว สำหรับเจ้าของกิจการ ร้านค้า และ SME ที่สนใจเสริมความรู้ในการทำธุรกิจออนไลน์ และการใช้เครื่องมือดิจิทัลใหม่เพื่อต่อ ยอดโอกาสทางธุรกิจ
.
ซึ่งศูนย์ให้คำปรึกษาด้านธุรกิจของ Grab จะเปิดให้บริการได้ภายในปี 2022 นี้เช่นเดียวกัน


อ้างอิง 
CNA
 


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STUDY TIMES
Take Me Top