“อรวรรณ ฉิมแป้น” หัวใจเธอยิ่งใหญ่กว่าทุกสิ่ง เจ้าของ 3 เหรียญทองกรีฑา ASEAN PARAGAMES
อำพล ทองเมืองหลวง ช่างภาพกีฬาชื่อดัง ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ถึงเรื่องราวสุดประทับใจ ในการแข่งขัน อาเซียนพาราเกมส์ ครั้งที่ 11 เมืองโซโล อินโดนีเซีย โดยระบุว่า ...
.
เป็นภาพชุดนึงที่ชอบของวันนี้...
ภาพที่บอกอะไรหลายๆอย่าง ให้ความหมายอะไรหลายๆอย่าง
อรวรรณ ฉิมแป้น นักวิ่งผู้พิการทางสมอง วันนี้เธอวิ่งคว้าเหรียญทอง 400 เมตรหญิงคลาส T37 ด้วยเวลา 1.18.30 นาที และนี่เป็นเหรียญทองที่สามของเธอ หลังจากเมื่อวาน ได้เหรียญทองทั้ง 100 เมตร กับ 200 เมตร
.
ถึงเส้นชัยเธอลงไปนอนกองกับพื้น แล้วร้องด้วยความเจ็บปวด ถ่ายรูปไป ผมก็สงสัยเธอเป็นอะไร...
"ลุกไหวมั๊ย ลุกไหวค่อยๆลุกเดินออกมานะ"
เสียงโค้ชตะโกนสวนผ่านหูใกล้ๆ ก่อนน้องจะโบกมือไม่ไหว แล้วลงไปนอน ก่อนจะมีเปลมาหามออกไปด้านหลัง แล้วน้องก็ร้องห่ม ร้องไห้ใหญ่ ด้วยความเจ็บปวด
.
ทุกคนช่วยปลอบ รวมถึงความน่ารักของนักกีฬาข้างๆ ที่นอนบนเปลข้างๆ หันมายกนิ้วยินดีให้กับชัยชนะของเธอ
สักพักเธอยิ้มได้ แล้วทีมงานบอกยกนิ้วให้กล้องหน่อยดั่งภาพที่เห็น
หลังจากนั้นผมเดินไปถามโค้ชว่าน้องเขาเป็นอะไรหรอครับ ร้องไห้ทำไม?
"ร่างกายน้องเขาไม่ไหว เพราะ ล้ามาจากเมื่อวาน ที่ลากลงสองรายการ"
ผมถามต่อ... แล้วไม่ไหว คือประมาณแบบไหนยังไงหรอครับ?
.
"ร่างกายเขาไม่ปกติแบบเรา การที่เขาวิ่งได้ก็เก่ง เขาล้าจากเมื่อวาน กล้ามเนื้อขา ก้นมันจะเจ็บปวดไปหมด แล้วการที่เขาฝืนวิ่งจนเข้าเส้นชัย นั่นทำให้เขาเจ็บมาก เพราะ ด้วยขา กล้ามเนื้อไม่เท่ากัน ทำให้สมดุลร่างกายไม่เหมือนเรา นั่นทำให้เขาเจ็บมากกว่า และต้องอดทนมากกว่าคนทั่วไปปกติ"
.
เห็นแบบนี้ ก็รู้สึกชื่นชม ยินดี แล้วก็ขออนุญาตยกนิ้วยิ้มให้น้องสักภาพ ขอถ่ายภาพน้องกับธงชาติสักนิดหน่อย
หลังจากนั้น Tsports 7 ก็ได้ขอสัมภาษณ์น้อง ซึ่งน้องพูดไม่ค่อยได้ ไม่สามารถพูดเป็นประโยคได้ เธอจึงกล่าวประโยคสั้นๆ พร้อมรอยยิ้ม...
"ขอบคุณค่ะ"
เรื่องราวของ... "หัวใจพาเดิน"
ที่มา https://www.facebook.com/feelphoto3/posts/5882865051746647
“มหกรรมวิทย์ฯ 65” งานที่เด็กไทยไม่ควรพลาด ผสานแนวคิด “ศิลปะ-วิทย์-นวัตกรรม”
เมื่อวันที่ 3 ส.ค. 65 องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.) ขานรับนโยบาย อว. เปิดพื้นที่ 2 แห่ง จัดงานมหกรรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ 2565 ภายใต้แนวคิดศิลปะ วิทยาศาสตร์และนวัตกรรม เพื่อสังคมที่ยั่งยืน ร่วมแสดงนวัตกรรมและผลงานวิทยาศาสตร์อันยิ่งใหญ่แห่งปี 13 – 21 สิงหาคม 2565 ณ อาคาร 9-10 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี และ 17 – 21 สิงหาคม 2565 ณ สามย่านมิตรทาวน์ กับงาน NST Fair Science Carnival Bangkok
.
ศ.(พิเศษ) ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (อว.) เปิดเผยว่า ปี 2565 นี้ อว. มีกำหนดจัดงานมหกรรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติขึ้น 2 แห่ง คือที่อิมแพ็ค เมืองทองธานี ในรูปแบบการจัดงานวิทยาศาสตร์ที่ดำเนินมาทุกปี มีสถานที่จัดงานกว้างขวาง และเดินทางสะดวกสำหรับนักเรียน เยาวชนที่สนใจเข้าชมงาน และในปีนี้ได้ริเริ่มจัดที่สามย่านมิตรทาวน์ขึ้นเป็นปีแรก ซึ่งเป็นใจกลางเมืองอีกแห่งที่มีเยาวชนรวมตัวกันมากเป็นพิเศษ ทั้งมหาวิทยาลัย และโรงเรียนต่าง ๆ อีกทั้งยังสามารถเดินทางด้วยรถไฟฟ้าบีทีเอส และรถไฟฟ้าใต้ดินเอ็มอาร์ทีได้อย่างสะดวกมาก
.
รมว.อว. กล่าวต่อว่า สำหรับมหกรรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติประจำปีนี้ ที่ อว.โดย อพวช. จัดขึ้นนั้น ตั้งใจจัดให้เยาวชน นักเรียน และผู้สนใจที่เข้าชมงานมีความเข้าใจ สร้างแรงบันดาลใจและความสนุกสนาน เพลิดเพลินไปพร้อมๆ กับการเพิ่มพูนความรู้รอบตัว ทำให้ผู้ที่เข้าชมงานเป็นผู้ที่มีวัฒนธรรม กล่าวคือเป็นผู้ที่มีทั้งวิทย์และศิลป์ ตลอดจนคุณธรรมในตัวเอง เป็นวิทยาศาสตร์ที่มีเป้าหมายทำให้สังคมยั่งยืน ทุกวันนี้ในเรื่องของวิทยาศาสตร์แล้ว คนไทยไม่แพ้ใคร มีนักวิทยาศาสตร์ไทยหลายคนที่ทำงานให้กับหน่วยงานด้านวิทยาศาสตร์ชั้นนำของโลก แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของคนไทยในด้านวิทยาศาสตร์ได้เป็นอย่างดี วิทยาศาสตร์ของไทยเป็นศาสตร์ที่มีมาแต่โบราณ บรรพบุรุษไทยมีความเป็นนักวิทยาศาสตร์อยู่ในตัว เห็นได้จากการสร้างโบราณสถานมากมายหรือวัดวาอาราม ล้วนนำองค์ความรู้พื้นฐานของวิทยาศาสตร์มาประยุกต์ใช้ทั้งสิ้น
.
“คนไทยเก่งในการประยุกต์ใช้ให้เข้ากับวัฒนธรรมแบบไทย วิทยาศาสตร์จึงไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับคนไทย แต่มีการต่อยอดพัฒนาจากอดีตจนถึงปัจจุบัน มาสู่วิทยาศาสตร์สมัยใหม่ ดังนั้น ถ้าจะให้เกิดประสิทธิภาพสูงที่สุด จึงต้องมีการผนวกรวมวิทยาศาสตร์ในยุคเก่าและยุคใหม่เข้าด้วยกัน ซึ่งเราจะได้สัมผัสและเรียนรู้สิ่งเหล่านี้กันในงานมหกรรมวิทยาศาสตร์ฯ ของปีนี้ ที่จะปลุกความเป็นนักวิทยาศาสตร์ในตัวของทุกคนกับนิทรรศการที่น่าตื่นตาตื่นใจและกิจกรรมที่สนุกสนานอีกมากมาย” ศ.(พิเศษ) ดร.เอนก กล่าว
.
สำหรับงานมหกรรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ ประจำปี 2565 ถือเป็นกิจกรรมทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี ที่จัดโดย กระทรวง อว. เพื่อเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหามงกุฎ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระสยามเทวมหามกุฎวิทยมหาราช รัชกาลที่ 4 ‘พระราชบิดาแห่งวิทยาศาสตร์ไทย’ และพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ 9 ‘พระบิดาแห่งเทคโนโลยีของไทย’ และ ‘พระบิดาแห่งนวัตกรรมไทย’ ที่ทรงพระปรีชาสามารถ และทรงนำความรู้ด้านศาสตร์ของวิทยาศาสตร์และศาสตร์ศิลปะมาใช้ในการพัฒนาประเทศ เป็นต้นแบบสำคัญที่จะนำไปสู่การสร้างแรงบันดาลใจให้แก่คนรุ่นหลังได้นำเอาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม ไปใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาอุตสาหกรรมเพื่อขับเคลื่อนประเทศ พัฒนาคุณภาพชีวิต เพิ่มมูลค่าผลผลิตและพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศต่อไป
.
ศ.ดร.นพ.สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม กล่าวว่า แนวคิดหลักของการจัดงานในปีนี้คือ “ศิลปะ วิทยาศาสตร์และนวัตกรรม เพื่อสังคมที่ยั่งยืน (Art – Science –Innovation for Sustainable Society) โดยเน้นนำเสนอความคิดสร้างสรรค์ทาง วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม ผสานกับศิลปะในมุมของการขับเคลื่อนพัฒนา “เศรษฐกิจสร้างสรรค์” (Creative Economy) ของประเทศ สอดรับกับนโยบาย “BCG Model : Bio – Circular – Green Economy” สนับสนุนการพัฒนานวัตกรรมที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจหมุนเวียน โดยผนึกกำลังกับหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน สมาคม มูลนิธิ และหน่วยงานต่างประเทศ ร่วมถ่ายทอดศักยภาพทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีให้กับเยาวชนและประชาชนไทย มากถึง 124 หน่วยงาน จาก 11 ประเทศ (รวมประเทศไทย)
.
ส่วนจัดแสดงที่สำคัญคือ นิทรรศการเทิดพระเกียรติของกษัตริย์ไทยและพระบรมวงศานุวงศ์ อันเปี่ยมไปด้วยคุณูปการและพระอัจฉริยภาพด้านวิทยาศาสตร์ นอกจากนี้ภายในงานยังมี หนึ่งในโครงการที่สำคัญ โดยจะมีการมอบรางวัลเชิดชูเกียรติ Prime Minister’s Science Award 2022 ให้กับเยาวชนและครูวิทยาศาสตร์ที่ผู้เป็นต้นแบบด้านวิทยาศาสตร์ ที่ได้ทำโครงงานด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ เพื่อแก้ไขปัญหาในชีวิตประจำวันหรือภายในชุมชน ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ให้เกิดการมีเจตคติที่ดีต่อวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง เกิดเป็นเครือข่ายเยาวชนและครู และเพื่อเป็นขวัญกำลังใจให้กับเยาวชน ครูและสถานศึกษา ในการสร้างสรรค์ผลงานทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีให้กับประเทศต่อไป
.
ที่สำคัญปีนี้นอกจาก มหกรรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ จะจัดขึ้น ณ อาคาร 9-10 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี ระหว่างวันที่ 13 – 21 สิงหาคม 2565 แล้ว ยังกำหนดจัดเพิ่มขึ้นอีก 1 แห่งใจกลางกรุงเทพ ในชื่อ NST Fair Science Carnival Bangkok ในรูปแบบ Science Carnival จัดขึ้นที่สามย่านมิตรทาวน์ วันที่ 17 – 21 สิงหาคม 2565 เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มวัยรุ่นและกลุ่มคนในชุมชนเมือง ให้สามารถเข้าถึงวิทยาศาสตร์ได้ง่าย ผ่านศิลปะ ดนตรี และการนำเสนอที่สอดคล้องกับชีวิตประจำวันของคนกรุงเทพ ได้มาร่วมสนุกกับกิจกรรมที่ท้าทาย ให้ร่วมค้นหาคำตอบและเกิดเป็นแรงบันดาลใจและนำไปใช้ในการดำเนินชีวิตได้จริง กิจกรรมภายในงาน อาทิ Makers Science & Challenges กิจกรรมเวิร์กช็อปสำหรับคนชื่นชอบการประดิษฐ์ ร่วมสนุกและส่งเสียงเชียร์กับการแข่งหุ่นยนต์เห่ย (Hebocon) สิ่งประดิษฐ์จากขยะที่จะมาสร้างความสนุกสนานให้กับทุกท่าน เพลิดเพลินไปกับแสงสีของขบวน Electric Parade ในยามค่ำคืน ทำความรู้จักกับอาหารทางเลือกแวะลองลิ้มชิมรสอาหาร Superfood ผงโปรตีนธรรมชาติจิ้งหรีดขาว...การันตีรสชาติความอร่อย จากร้าน Bounce Burger by The Bricket และอิ่มอร่อยกับหลากหลายเมนูอาหารแห่งอนาคต ในลานกิจกรรม Chill & Shop
.
ผศ.ดร.รวิน ระวิวงศ์ ผู้อำนวยการองค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ กล่าวถึง ภาพรวมของการจัดงานมหกรรมวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีแห่งชาติ ณ อาคาร 9-10 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี ระหว่างวันที่ 13 – 21 สิงหาคม ในปีนี้ ประกอบด้วย 5 นิทรรศการหลักที่จะนำเสนอประเด็นด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่อยู่ในความสนใจของประชาชน หรือมีความสำคัญต่อความเป็นอยู่และการพัฒนาประเทศ รวมทั้งนิทรรศการแสดงผลงานด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจากภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคการศึกษา สมาคม ของประเทศไทยและต่างประเทศ และกิจกรรมสำหรับเยาวชน กิจกรรมทดลองวิทยาศาสตร์ การประกวดแข่งขันด้านวิทยาศาสตร์
.
อีกทั้งยังมีการประชุม สัมมนา ในระดับชาติและระดับนานาชาติ เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ รวมถึงสร้างเครือข่ายความร่วมมือ เพื่อการพัฒนางานด้านวิทยาศาสตร์และนโยบายด้านวิทยาศาสตร์ของประเทศและภูมิภาค
.
ส่วนกิจกรรมไฮไลต์ที่ห้ามพลาด ได้แก่ นิทรรศการแก้วเปลี่ยนโลก (Through the Looking Glass) นิทรรศการที่เล่าเรื่อง “แก้ว” ในทุกมิติ ทั้งในด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี ศิลปะ และสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน ผ่านการเปิดมุมมองใหม่ๆ และการเรียนรู้อย่างสร้างสรรค์ จากวัสดุที่ผ่านการถูกปฏิวัติมานาน และอยู่คู่กับมนุษย์บนโลกนี้มานานนับพันปี และนิทรรศการ ลอดช่อง ส่องถ้ำ (Cave and Karst) จำลองถ้ำและคาสต์เพื่อเปิดพรมแดนความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์และธรรมชาติ ว่าเป็นที่ก่อเกิดทรัพยากรหลากหลาย แหล่งน้ำ แหล่งเศรษฐกิจ แหล่งโบราณคดี แหล่งท่องเที่ยว แหล่งฝึกปฏิบัติขัดเกลาจิตตามหลักศาสนาและจิตวิญญาณ เรียกได้ว่าสิ่งที่เราเห็นและสัมผัสในชีวิตประจำวันอาจจะมีเรื่องราว เบื้องลึกที่เป็นมากกว่าสิ่งที่เราได้เห็นและรู้จัก
.
สำหรับเยาวชน นักเรียน และผู้สนใจเข้าชมงานมหกรรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ ปี 2565 จัดโดย อว. ทั้ง 2 แห่ง วันที่ 13 -21 สิงหาคม 2565 ณ อาคาร 9-10 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี และวันที่ 17 – 21 สิงหาคม 2565 ณ สามย่านมิตรทาวน์ กับงาน NST Fair Science Carnival Bangkok สอบถามข้อมูลการจองเข้าชมงานแบบหมู่คณะได้ที่ โทร 02 577 9960 ติดตามรายละเอียดของงาน เข้าร่วมกิจกรรมทางออนไลน์ Online Activities ชมการ LIVE สด และเยี่ยมชมนิทรรศการและกิจกรรมภายในงานเพิ่มเติมได้ที่ www.thailandnstfair.com หรือ Facebook: NSTFair Thailand (www.facebook.com/nstfairTH)
มหาวิทยาลัยเกริก เดิมชื่อสถาบันเทคโนโลยีสังคม (เกริก) เป็นสถาบันอุดมศึกษาเอกชน 1 ใน 5 แห่งแรกในประเทศไทยถูกสถาปนาขึ้นพร้อมกับ วิทยาลัยกรุงเทพ วิทยาลัยไทยสุริยะ วิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ และวิทยาลัยพัฒนา ตั้งอยู่ที่ หลักสี่ ถนนรามอินทรา กม.1 กรุงเทพ เปิดทำการเรียนการสอนเมื่อปี พ.ศ. 2495 จัดตั้งเป็นสถาบันอุดมศึกษาเมื่อปี พ.ศ. 2513 และได้รับการยกฐานะเป็นมหาวิทยาลัย ในปี พ.ศ. 2538
.
สถานศึกษาที่ต่อมาจะพัฒนาเป็นมหาวิทยาลัยเกริก เปิดดำเนินการเป็นครั้งแรกที่อาคาร ก ราชดำเนิน เมื่อปี พ.ศ. 2495 ในชื่อ โรงเรียนภาษาและวิชาชีพ โดย ดร.เกริก มังคละพฤกษ์ (พ.ศ. 2458-2521) ซึ่งเป็นนักการศึกษาผู้มีชื่อเสียงทั้งในและต่างประเทศ จุดมุ่งหมายในการตั้งมหาวิทยาลัยในระยะแรกนั้น เพื่อดำเนินการเรียนการสอนด้านภาษาอังกฤษแต่เพียงอย่างเดียว เนื่องจากท่านมีความสามารถด้านภาษาอังกฤษเป็นพิเศษ ทั้งในด้านการเรียนการสอนและประสบการณ์จากการทำงาน นับได้ว่าท่านเป็นคนไทยคนแรกที่ทำการสอนภาษาอังกฤษใหม่ ซึ่งมุ่งให้นักศึกษาได้มีความรู้ในหลักภาษาและสามารถใช้ภาษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
.
ต่อมาได้เปิดแผนกบริหารธุรกิจและการเลขานุการเพิ่ม และพัฒนาเป็น โรงเรียนเกริกวิทยาลัย และยกฐานะเป็น เกริกวิทยาลัย เปิดสอนปริญญาตรี คณะบริหารธุรกิจและคณะเศรษฐศาสตร์ และพัฒนาเป็น สถาบันเทคโนโลยีสังคม (เกริก) และ มหาวิทยาลัยเกริก ดังเช่นปัจจุบัน
.
สำหรับ ดร.เกริก มังคละพฤกษ์ ชื่อเดิม ปทุม เกิดเมื่อวันที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2458 ที่ตำบลท่ากลาง อำเภอพระนคร จังหวัดพระนคร เป็นบุตรของนายเดียวเซียะ (ตีระ) และนางบุญรอด มังคละพฤกษ์ มีพี่น้องร่วมบิดามารดา 5 คน พี่น้อง 4 คน คือ นางสาลี่ กรัยวิเชียร นางสาวองุ่น มังคละพฤกษ์ นายเกรียง มังคละพฤกษ์ พล.อ.อ. เกียรติ มังคละพฤกษ์ และมีน้องหนึ่งคนคือ นายมนัส มังคละพฤกษ์ (ขณะนี้ถึงแก่กรรมทั้งหมดแล้ว) และได้สมรสกับ นางสุวรรณี (กอวัฒนา) ปัจจุบันคือ ดร.สุวรรณี มังคละพฤกษ์ เป็นประธานมูลนิธิเกริก มังคละพฤกษ์ มีบุตรธิดาด้วยกัน 4 คน
.
เมื่อเยาว์ได้รับการศึกษาชั้นมูล ที่โรงเรียนอัสสัมชัญ จนจบมัธยมปีที่ 8 ดร. เกริกได้รับปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ทางการศึกษา จากมหาวิทยาลัย David & Elkins สหรัฐอเมริกา โดยได้ประกอบอาชีพครั้งแรกเป็นครูอยู่ตามโรงเรียนต่าง ๆ 3 ปี ต่อมาใน พ.ศ. 2480 ได้อุปสมบท 1 พรรษา ที่วัดเทพศิรินทราวาส ราชวรวิหาร โดยสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (เจริญ ญาณวโร) เป็นพระอุปัชฌาย์ เมื่อลาสิกขาแล้วได้เริ่มทำงานหนังสือพิมพ์เสียงไทยและประชามิตรและหลังจากนั้นได้จัดตั้งสำนักพิมพ์ขึ้นเองชื่อสำนักงานเทอดไทย อยู่ที่ตำบลบ้านหม้อ จังหวัดพระนคร รับทำบล็อก และงานช่างเขียน ทำอยู่ได้ 2 ปีก็ต้องเลิกกิจการแล้ว จนกระทั่งพ.ศ. 2487 ได้เข้าทำงานที่บริษัท โนมูระ ทำอยู่ได้ระยะหนึ่งก็กลับไปเป็นครูสอนภาษาอังกฤษที่โรงเรียนประชาไทยวิทยาลัย ต่อมาเมื่อโรงเรียนประชาไทยวิทยาลัยเลิกกิจการแล้ว มีนักเรียนมาขอเรียนที่บ้าน 2 คนได้ชักชวนเพื่อนมาเรียนเพิ่มมากขึ้น ทำให้มีรายได้พอเลี้ยงตัว พร้อมกันนั้นก็สอนหนังสืออยู่ที่โรงเรียนขัตติยาณีผดุง แล้วเปลี่ยนไปทำงานที่สำนักพิมพ์บางกอกโพสต์ ปี พ.ศ. 2507 ได้ขยายโรงเรียนสอนภาษาและวิชาชีพ โดยรับนักเรียนที่จบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ปี พ.ศ. 2508 ได้ย้ายจากอาคาร ก.ถนนราชดำเนินไปตั้งที่ตำบลบางด้วน(ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็นตำบลปากน้ำ) อำเภอเมืองสมุทรปราการ ใช้ชื่อว่าโรงเรียนภาษาและวิชาชีพปากน้ำ ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็นเกริกวิทยาลัย
ปัจจุบันมีจัดการแก้ไขปัญหาการจัดการเมือง หรือพัฒนาประเทศด้วยการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยอำนวยความสะดวกให้กับประชาชน เช่น กรุงเทพฯใช้ traffic fondue ที่ให้ประชาชนคอยแจ้งปัญหาถึงผู้รับผิดชอบโดยตรง พร้อมกับแสดงความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาเหล่านั้น ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี และทำให้เห็นปัญหาตั้งแต่ระดับเล็ก หรือ รากฝอย ไปจนถึงปัญหาระดับใหญ่ ซึ่งการพัฒนากลไกต่าง ๆ นี้ มีทั้งความร่วมมือจากทางภาครัฐ เอกชน และภาคประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม
.
ล่าสุด “มหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์“ ได้เป็นส่วนหนึ่งในการร่วมพัฒนาเมือง ชุมชนไปสู่สมาร์ทซิตี้ โดยดำเนินการในพื้นที่จังหวัดฉะเชิงเทรา ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ทางมหาวิทยาลัยได้ดำเนินการพัฒนาชุมชน ขับเคลื่อนโครงการต่างๆ อันนำไปสู่การสร้างความเข้มแข็งของชุมชน สร้างงาน สร้างอาชีพ ยกระดับคุณภาพของคนในชุมชน
.
“กลไกการพัฒนาและขับเคลื่อนเมืองด้วย city data platform” เป็นแนวทางในการพัฒนาเมืองฉะเชิงเทราสู่สมาร์ทซิตี้ โดยใช้พลังของข้อมูลจากทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็น ภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม มาร่วมกันกำหนดเป้าหมาย ทิศทางในการพัฒนาเมืองแต่ละปีว่าจะดำเนินการเรื่องใด ใช้งบประมาณไปในเรื่องใด เพื่อให้เกิดการพัฒนาชุมชนขึ้นจริง
.
รศ.ดร.ดวงพร ภู่ผะกา รักษาราชการแทนอธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์ ที่กำลังเดินหน้าผลักดันการพลิกโฉมมหาวิทยาลัย (Reinventing University) เข้าร่วมเสวนา “กลไกการพัฒนาและขับเคลื่อนเมืองด้วย city data platform” เพื่อการยกระดับชุมชน
.
โดยมีการร่วมมือกันทั้งจากภาคการศึกษา สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล และในระดับจังหวัด เพื่อการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการพัฒนาเมือง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการพลิกโฉมมหาวิทยาลัย (Reinventing University) ด้วยการขับเคลื่อน Digital University
.
“มหาวิทยาลัยได้ดำเนินด้วยกลไกพัฒนาและขับเคลื่อนเมืองด้วย city data platform มาตั้งแต่ปี 2564 ซึ่งแพลตฟอร์มดังกล่าว นอกจากนำมาใช้พัฒนาหลักสูตร พัฒนาบุคลากร (Smart People) ทั้งผู้สอนและผู้เรียนแล้ว ยังมีการพัฒนางานวิจัยที่ต่อยอดไปในพื้นที่ความรับผิดชอบของมหาวิทยาลัย (Consulting Thailand ยกระดับมหาวิทยาลัยให้เป็น Digital University อย่าง ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง” รศ.ดร.ดวงพร กล่าว
.
โดยเฉพาะการพัฒนาจังหวัดฉะเชิงเทราให้กลายเป็นเมืองน่าอยู่ น่าเที่ยว น่าลงทุน ซึ่งเป็นการทำงานร่วมกับ นายไมตรี ไตรติลานันท์ ผู้ว่าราชการจังหวัดฉะเชิงเทรา หน่วยงานภาครัฐและเอกชน เช่น สวทช. บริษัท ดาว ประเทศไทย, Gistda, Minor group, บริษัท ISS
.
city data platform” เป็นกลไกการพัฒนาและขับเคลื่อนเมืองที่หน่วยงานระดับจังหวัด ทุกภาคส่วนต้องระดมข้อมูลร่วมกันและนำมาไว้ในจุดๆ เดียว “มรภ. ราชนครินทร์ เป็นมหาวิทยาลัยเชิงพื้นที่ เป็นมหาวิทยาลัยรับใช้สังคมจึงต้องร่วมกับทุกภาคส่วนช่วยพัฒนาชุมชนให้เข้มแข็ง
.
ทางจังหวัดฉะเชิงเทราประกาศชัดเจนว่าจะเป็น เมืองสมาร์ทซิตี้ โครงการต่างๆ จึงเกิดขึ้น โดยมรภ.ราชนครินทร์ จะดูแลรับผิดชอบในเรื่องของ Smart people พัฒนาคนในทุกมิติ ตั้งแต่ในกลุ่มการศึกษา การเกษตร ผู้ประกอบการ เศรษฐกิจ มีการ upskill และ reskill คนในพื้นที่เพิ่มคุณภาพชีวิต รายได้ และเป็นการรวบรวมคณะทำงานในชุมชน
.
“การดำเนินงานต่างๆ จะใช้ city data platform หรือข้อมูลเป็นตัวตั้ง และทำงานร่วมกับคนในชุมชน ซึ่งหากคนในชุมชนไม่ให้ความร่วมมือการขับเคลื่อนต่างๆ คงไม่เกิดขึ้น โดยข้อมูลจะแบ่งคณะทำงานออกเป็น 3 ส่วน ได้แก่ ทำบัญชีภาครัฐ แลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกัน และการทำธรรมาภิบาล” รศ.ดร.ดวงพร กล่าว
.
เป้าหมายของการพัฒนาเมืองฉะเชิงเทรา สู่สมาร์ทซิตี้ เมืองน่าอยู่ น่าเที่ยว น่าลงทุน ด้วยการใช้ข้อมูลและเทคโนโลยี เมื่อรวมรวมข้อมูลมาแต่ละที่แล้วจะมการวิเคราะห์ สังเคราะห์ทางสถิติ และนำข้อมูลเหล่านั้น มาฉายภาพให้เห็นเป็นเทรนด์ หรือแนวโน้มที่ทางจังหวัดควรทำ เป็นการคาดการณ์ที่แม่นยำและตรงเป้าหมาย
.
หลังจากนั้นจะมีการติดตามประเมินผล และประชาสัมพันธ์ สร้างความร่วมมือ อย่างในปี2565 นี้ จะมุ่งเรื่องการพัฒนาสินค้าเกษตรกร ปลอดภัย และ Zero Waste โดยมีการอบรมทำความเข้าใจกับเกษตรกร และผู้ประกอบการ ทั้งในเรื่องการยกระดับมาตรฐานของสินค้าเกษตร และการดูแลบริการจัดการเรื่องขยะ การให้ประชาชนได้เรียนรู้การจัดการขยะ หรือการนำขยะกลับมาเป็นโปรดักส์ เป็นสินค้าที่เพิ่มอาชีพ เพิ่มรายได้ และรักษ์โลก ดูแลสิ่งแวดล้อมร่วมด้วย
.
“จากการดำเนินงาน กลไกการพัฒนาและขับเคลื่อนเมืองด้วย city data platform สิ่งที่เห็นอย่างชัดเจน คือ คุณภาพชีวิต และรายได้ของคนในชุมชนเพิ่มขึ้น เห็นความร่วมมือของคนทุกภาคส่วนในการพัฒนาจังหวัด ทำให้ขณะนี้จังหวัดฉะเชิงเทรามีการเติบโตอย่างรวดเร็ว และการใช้ข้อมูลมาพัฒนาเมือง ทำให้เห็นจุดเด่น จุดด้อยของเมืองอย่างชัดเจน อันนำไปสู่การพัฒนาหรือการแก้ปัญหาอย่างตรงจุด”รศ.ดร.ดวงพร กล่าว
.
บทบาทหน้าที่ของสถาบันการศึกษา ไม่ใช่เพียงให้ความรู้ พัฒนาคนในมหาวิทยาลัยเท่านั้น แต่ต้องขยายองค์ความรู้ งานวิจัย ร่วมพัฒนาคนในชุมชนด้วย
.
“กลไกการพัฒนาและขับเคลื่อนเมืองด้วย city data platform” มหาวิทยาลัยราชภัฎราชนครินทร์ จะใช้พลังของข้อมูลสร้างการเปลี่ยนแปลงคนให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี มีการนำงานวิจัย เทคโนโลยีมาใช้จริงในพื้นที่ ให้ทุกคนมีชีวิตสมาร์ททั้ง 7 ด้าน ไม่ว่าจะเป็น สิ่งแวดล้อมอัจฉริยะ (Smart Environment) พลังงานอัจฉริยะ (Smart Energy) เศรษฐกิจอัจฉริยะ (Smart Economy)
การบริหารภาครัฐอัจฉริยะ (Smart Governance) การเดินทางและขนส่งอัจฉริยะ (Smart Mobility) มีพลเมืองอัจฉริยะ (Smart People) และการดำรงชีวิตอัจฉริยะ (Smart Living)ให้ทุกคนใช้ชีวิตอย่างมีความสุข มีความรู้ และมีรายได้
ที่มา https://www.bangkokbiznews.com/social/social_education/1018802
Heidelberg University ตำนานมหาวิทยาลัยสยองขวัญแห่งเยอรมัน
ทุกๆสถานที่ล้วนมีตำนาน และตำนานก็คือเรื่องราวหน้าหนึ่งของประวัติศาสตร์ เพียงแต่มหาวิทยาลัยเก่าแก่ของเยอรมันอย่าง Heidelberg University อาจมีเรื่องราวที่ทั้งขลัง และชวนสยองขวัญกว่าสถาบันอื่นๆ ที่ทำให้นักศึกษาได้เรียนรู้ไป ขนหัวลุกไปเลยทีเดียว
.
ประวัติโดยสังเขปของ Heidelberg University ตั้งอยู่ในบาเดิน-เวือร์ทเทิมแบร์ค แคว้นที่มีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 3 ของเยอรมัน ก่อตั้งในปี ค.ศ. 1386 จนถึงปีนี้มีอายุกว่า 636 ปีแล้ว นับเป็นมหาวิทยาลัยที่เก่าแก่ที่สุดของเยอรมัน ที่ยังคงเปิดการเรียน การสอนอย่างต่อเนื่องเรื่อยมาจนถึงทุกวันนี้
.
นอกจากจะมีอายุเก่าแก่แล้ว ยังคงรักษาระดับความเป็นเลิศด้านวิชาการ เป็นสถาบันการศึกษาระดับแถวหน้าของเยอรมัน ที่สร้างนักวิชาการที่ได้รับรางวัลโนเบลถึง 33 คน สาขาวิชาที่สร้างชื่อเสียงให้แก่สถาบันได้แก่ แพทยศาสตร์ รังสีวิทยา ฟิสิกส์ ดาราศาสตร์ จิตวิทยา กฎหมาย และชีววิทยาแขนงต่างๆ
.
เมื่อเป็นสถาบันที่มีประวัติยาวนานหลายร้อยปี ย่อมมีเรื่องราวทั้งด้านสว่าง และด้านมืด แต่ตำนานหลอนที่อยู่คู่กับสถาบันแห่งนี้กลับเพิ่งเกิดขึ้นในยุคประวัติศาสตร์ร่วมสมัย ในช่วงพรรคนาซีเรืองอำนาจในเยอรมันนี่เอง
.
เมื่อ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ได้ขึ้นมาดำรงตำแหน่งผู้นำเยอรมันในปี 1933 เขาได้สั่งให้กวาดล้างนักวิชาการฝ่ายซ้าย หรือผู้มีแนวคิดคอมมิวนิสต์ในสถาบันการศึกษาทั่วประเทศ ซึ่งช่วงเวลานั้น Heidelberg University มีการรวมกลุ่มของนักศึกษา และอาจารย์ที่มีแนวคิดคอมมิวนิสต์ และกลุ่มนักวิชาการชาวเยอรมันเชื้อสายยิวอยู่ไม่น้อย
.
ทางรัฐบาลนาซีได้ออกคำสั่งให้อาจารย์ของมหาวิทยาลัยเปลี่ยนแนวการสอนเพื่อสนับสนุนการปกครองของรัฐบาลนาซี-เยอรมัน รวมถึงเผาตำราที่ต่อต้านลัทธินาซีทั้งหมดทิ้ง ที่จัตุรัสกลางมหาวิทยาลัย ส่วนอาจารย์บางคนที่ยึดมั่นในอุดมการณ์ และไม่ยอมเปลี่ยนแนวการสอน หรือมีเชื้อสายยิวก็จะถูกกำจัด หรือไม่ก็กวาดต้อนไปอยู่ในค่ายกักกันนาซี และไม่ได้กลับมาอีกเลย
.
ช่วงยุคมืดนั้น ทำให้เกิดเรื่องราวหลอนภายใน Heidelberg University จนถึงปัจจุบัน ว่าเมื่อเดินผ่านจัตุรัสกลางมหาวิทยาลัยตอนช่วงค่ำ จะได้กลิ่นเหมือนกระดาษเก่าๆ และปกหนังสือที่ทำด้วยหนังกำลังไหม้ไฟอยู่ ในจุดที่เคยมีการเผาตำราจำนวนมหาศาลในสมัยนาซี
.
และยังมีเรื่องลือกันว่า มักมีปรากฏการณ์ ชอล์กเขียนกระดานได้เองในยามวิกาล ราวกับมีอาจารย์กำลังสอนหนังสืออยู่ ซึ่งข้อความบนกระดานจะลบหายไปเองในช่วงเช้า ซึ่งอาคารเรียนทั้งหมดถูกล็อกประตูตั้งแต่ช่วงหัวค่ำ และไม่มีใครอยู่
.
ตำนานที่สยองขวัญที่สุดของสถาบันแห่งนี้อยู่ภายในคลินิกของคณะแพทย์ ที่เคยถูกใช้เป็นห้องผ่าตัดทำหมันหญิงสาวชาวเยอรมันในสมัยนาซี ที่มีแนวคิดเรื่องชาวเยอรมันมี "ยีน" ที่ดีกว่ามนุษย์ชาติพันธุ์ไหน ๆ บนโลก
.
และเพื่อรักษาพันธุกรรมที่แข็งแกร่งนี้ไว้ ต้องทำหมันคนที่มีลักษณะด้อยทางพันธุกรรมให้หมดไป เพื่อปิดโอกาสไม่ให้ตั้งครรภ์ สร้างชาวเยอรมันที่มีพันธุกรรมที่ด้อยลงได้ ในช่วงเวลานั้น จึงมีการบังคับจับตัวหญิงสาวที่มีความผิดปกติทางพันธุกรรมเข้ามาทำหมันภายในคลินิกของมหาวิทยาลัยแห่งนี้ ทั้ง ๆ ที่หญิงสาวเหล่านั้นไม่ได้สมัครใจ
.
เมื่อเวลาผ่านไป แต่ความเฮี้ยนยังคงอยู่ และผู้คนที่ได้เดินผ่านหน้าอาคารคลินิกของคณะแพทย์ในตอนดึกๆ หลายคนจะได้ยินเสียงหญิงสาวร้องไห้ หรือไม่ก็กรีดร้องอยู่บ่อยครั้ง ให้ได้ระลึกถึงความโหดเหี้ยมของรัฐบาลนาซีที่กระทำต่อชาวเยอรมันด้วยกัน เพียงเพื่อบูชาลัทธิความเชื่อของตน
.
แต่ถึงแม้ตำนานจะหลอน แต่ก็ไม่ได้ลดทอนชื่อเสียงด้านวิชาการของมหาวิทยาลัยแม้แต่น้อย ซึ่งมหาวิทยาลัยแห่งนี้ก็ถูกจัดอยู่ในอันดับที่ 54 ของสถาบันอุดมศึกษาชั้นนำของโลก ปัจจุบันมีนักศึกษาลงทะเบียนมากกว่า 28,000 คน ในจำนวนนั้น เป็นนักศึกษาต่างชาติราว ๆ 20% จาก 130 ประเทศทั่วโลก
.
หากใครต้องการสัมผัสถึงความหลอน และความเป็นเลิศทางวิชาการของ Heidelberg University สามารถลองสมัครได้ ซึ่งสถาบันยินดีต้อนรับนักศึกษาต่างชาติ แม้หลักสูตรส่วนใหญ่จะสอนเป็นภาษาเยอรมัน แต่มีบางหลักสูตรที่สอนเป็นภาษาต่างประเทศอื่นๆ ที่มีทั้งภาษาอังกฤษ และ ฝรั่งเศส ให้เลือกได้เช่นกัน
อ้างอิง
Wikipedia
Edvoy
Heidelberg University
“Jackson Wang” ผู้ทิ้งความฝันโอลิมปิก เพื่อก้าวสู่เส้นทางศิลปินระดับโลก
หากคุณมีความสามารถ จะเป็นนักกีฬาระดับคว้าเหรียญโอลิมปิกได้ แต่ส่วนลึกในใจ มีความฝันอยากเป็นศิลปิน คุณจะ ตัดสินใจอย่างไร? จะเลือกเก็บอะไรไว้ และทิ้งสิ่งใดไป ?
.
เคสของแจ๊คสัน หวัง เป็นกรณีศึกษาที่ดี เพราะถ้าเขาเดินไปตามทางที่ครอบครัววางไว้ จะมีโอกาสดีมากๆ ที่จะกลายเป็น "โอลิมเปียน" หรือผู้ที่ได้เข้าแข่งขันในโอลิมปิก คืออาจไปได้ไกลสุดๆ ในสายกีฬา แต่เขากลับเลือกอีกเส้นทางหนึ่งคือวงการบันเทิง ซึ่งต้องนับหนึ่งใหม่ และใช้ความพยายามที่มหาศาลมาก
.
แจ๊คสัน หวัง เกิดที่ฮ่องกงในปี 1994 ภายใต้บรรยากาศของครอบครัวนักกีฬา คุณพ่อของเขาชื่อ หวัง รุยจิ เป็นนักฟันดาบทีมชาติจีนที่มีชื่อเสียงมาก นี่คือเจ้าของเหรียญทองฟันดาบเซเบอร์ ในเอเชียนเกมส์ ที่กรุงเทพฯ ปี 1978
.
ความยิ่งใหญ่ของหวัง รุยจิ คือคนจีนคนแรกในประวัติศาสตร์ที่ได้เหรียญทองเอเชียนเกมส์จากกีฬาฟันดาบ และไม่ใช่แค่ระดับเอเชีย แต่ หวัง รุยจิ ได้ร่วมแข่งขันในโอลิมปิกปี 1984 ที่ลอสแองเจลิสด้วย
.
หลังจากรีไทร์จากการเป็นนักกีฬาทีมชาติ หวัง รุยจิ เป็นเฮดโค้ชให้ทีมฟันดาบจีนอยู่ 4 ปี (1984-1988) และย้ายไปเป็นโค้ชให้ทีมฟันดาบฮ่องกง ตั้งแต่ปี 1993 เป็นต้นไป
.
คุณพ่อมีดีกรีเจ้าของเหรียญทองเอเชียนเกมส์และเป็นนักกีฬาโอลิมปิก ส่วนคุณแม่ชื่อโซเฟีย โชว ก็ไม่ธรรมดา เธอเป็นนักยิมนาสติกเจ้าของเหรียญทองกีฬาแห่งชาติจีนในปี 1979
.
เราจะเห็นได้เลยว่า แจ๊คสัน หวัง เกิดมาในแบ็กกราวน์ของครอบครัวนักกีฬาแบบเข้มข้นมาก และมันไม่ใช่เรื่องแปลกเลย ที่พ่อแม่จะปลูกฝังให้เขาเป็นนักกีฬาด้วย
.
ลักษณะเดียวกับ เดล เคอร์รี่ นักบาสเกตบอล NBA พอมีลูกชาย 2 คน สเตฟเฟ่น กับ เซ็ธ ก็ปลุกปั้นทั้งคู่เป็นนักบาส NBA ตามรอยตัวเอง หรือ อย่างเวย์น รูนี่ย์ กองหน้าทีมชาติอังกฤษ ปัจจุบันก็ปั้นลูกชายชื่อ ไค ให้กลายเป็นนักเตะเยาวชนของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
.
ดังนั้นเมื่อหวัง รุยจิ มีลูกชาย เขาก็พร้อมจะปลุกปั้นลูก ให้เป็นนักกีฬาตามรอยตัวเอง โดยพร้อมถ่ายทอดวิชาทั้งหมดที่ตัวเองมี เพื่อให้ลูกก้าวไปถึงการคว้าเหรียญโอลิมปิกให้ได้
.
สิ่งที่คุณพ่อถ่ายทอดให้แจ๊คสัน ไม่ใช่อะไรที่หวือหวา แต่เน้นหนักไปที่เรื่องเบสิคพื้นฐาน การฝึกแบบเดิมซ้ำๆ อันน่าเบื่อตามรูทีน ซึ่งแจ๊คสันก็ยอมทำตาม แต่สิ่งนี้แหละ ที่เป็นรากฐานที่ดีมากเมื่อเขาโตขึ้น และเริ่มลงแข่งขันจริงๆ
.
แจ๊คสันกล่าวว่า "คุณพ่อยืนกรานให้ผมเรียนเรื่องเบสิค คือสร้างฐานให้แน่นก่อน ตอนนี้ผมถึงเข้าใจแล้วว่า พ่อเป็นโค้ชที่มีวิสัยทัศน์ยอดเยี่ยมมาก เพราะการมีพื้นฐานแน่น ทำให้ผมสามารถรับมือกับแรงกดดันมหาศาลเวลาลงแข่งขันได้" แจ๊คสันลงแข่งขันฟันดาบประเภทเซเบอร์ บุคคลชาย และเป็นนักกีฬาที่มีพรสวรรค์สูงมาก ในปี 2010 ตอนเขาอายุ 16 ปี เขามี Ranking อันดับ 1 ของนักฟันดาบในฮ่องกง และทั้งทวีปเอเชีย
.
"ถ้าเป็นการแข่งเซเบอร์ ผมคือนักดาบอันดับหนึ่งของเอเชีย" แจ๊คสันอธิบาย คำพูดของเขาไม่ใช่การโอ้อวดเกินจริง ในเดือนสิงหาคม 2010 ในการแข่งซัมเมอร์ ยูธ โอลิมปิกที่สิงคโปร์ ทวีปเอเชียได้โควต้าประเภทเซเบอร์แค่ 2 ที่นั่งเท่านั้น และแจ๊คสันคือหนึ่งในนั้น (ส่วนอีกคน คือ ซอง ยอง-ฮุน ของเกาหลีใต้) แม้จะไม่ได้เหรียญ เพราะไปตกรอบ 16 คนสุดท้าย แต่การได้โควต้าก็ไม่ธรรมดาแล้ว
.
ณ โมเมนต์นั้น ถ้าเขาไม่หยุดฟันดาบ พัฒนาตัวเองต่อไปเรื่อยๆ การไปถึงเหรียญเอเชียนเกมส์ไม่มีปัญหาแน่นอน ขณะที่เรื่องการเข้าร่วมแข่งขันโอลิมปิกฤดูร้อน ก็ไม่ใช่เรื่องไกลเกินเอื้อมขนาดนั้น มันเป็นไปได้อยู่แล้ว
.
การได้เห็นลูกชายเอาดีทางฟันดาบตามรอยตัวเอง ทำให้คุณพ่อภูมิใจมาก เขากล่าวว่า "ผมมีลูกชายสองคน แต่ก็ไม่ได้บังคับให้พวกเขาเล่นฟันดาบหรอกนะ แต่ประเด็นคือพี่ชายของแจ๊คสัน เขาไม่มีทักษะเรื่องนี้ ดังนั้นผมก็เลยไม่ได้ให้เขาเล่น แต่แจ๊คสันมีพรสวรรค์ และชอบเล่นฟันดาบด้วย ผมก็เลยให้เขาลุยดู"
.
แจ๊คสันเองก็มีความสุข ที่ทำให้พ่อได้ภูมิใจ ตอนที่คว้าโควตายูธโอลิมปิกได้ แจ๊คสันเล่าว่า "คุณพ่อบอกว่าผมเล่นได้ยอดเยี่ยม และเขารู้สึกภูมิใจในตัวผมมาก เขากอดผม และผมคิดว่ามันเป็นโมเมนต์ที่ซึ้งใจมากๆ เลย"
.
การเป็นนักฟันดาบพรสวรรค์ดีกรียูธ โอลิมปิก ทำให้แจ๊คสันได้รับทุนการศึกษาจากมหาวิทยาลัยฮ่องกง และ มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดที่สหรัฐอเมริกา ให้มาเป็นนักฟันดาบของมหาวิทยาลัย คือดูไปแล้ว เส้นทางสายกีฬาโรยด้วยกลีบกุหลาบอย่างมาก
.
สแตนฟอร์ด เป็นสถาบันชั้นนำที่สหรัฐฯ ในสายกีฬาฟันดาบ นักกีฬาดังๆ อย่างอเล็กซานเดอร์ มาสเซียลาส เจ้าของ 3 เหรียญโอลิมปิก ก็ได้ทุนการศึกษาจากสแตนฟอร์ด แบบเดียวกับที่ยื่นให้แจ๊คสัน หวังนี่ล่ะ
.
แต่จุดเปลี่ยนสำคัญในชีวิตของแจ๊คสันเกิดขึ้นในช่วงปลายปี 2010 เมื่อค่ายเพลงจากเกาหลีใต้ ชื่อ JYP Entertainment ต้นสังกัดของวงดังๆ เช่น 2PM และ Wonder Girls จัดงานโกลบอลออดิชั่น ที่ 3 ประเทศ ออสเตรเลีย, สิงคโปร์ และ ฮ่องกง จุดประสงค์เพื่อหาศิลปินหน้าใหม่นอกเกาหลี
.
แจ๊คสันถูกแมวมองของ JYP เห็นแววระหว่างเล่นบาสเกตบอลอยู่ที่โรงเรียน และเชิญให้เข้าประกวดออดิชั่น ในวันที่ 18 ธันวาคม 2010 ที่ศูนย์แสดงสินค้า HITEC จริงๆ แจ๊คสัน เคยถูกแมวมองไอดอลทาบทามมาแล้วหนึ่งครั้งในปี 2008 แต่เขาปฏิเสธในคราวนั้น โดยแจ๊คสันเล่าว่า "ตอนนั้นผมยังเด็กเกินไป และคุณพ่อก็พูดประมาณว่า แบบก็สไตล์พ่อแม่คนจีนอะนะ เขาบอกว่า 'โอ๊ย มันเป็นพวกต้มตุ๋มหรือเปล่าก็ไม่รู้ อย่าไปเด็ดขาด เขาจะลักพาตัวแก ตัดอวัยวะภายในแล้วเอาไปขาย แถมสับเนื้อแกอย่าละเอียด เพราะฉะนั้น ไม่ดี ไม่ดี อย่าไป"
.
แจ๊คสันก็เลยไม่ได้เข้าวงการบันเทิง และลงแข่งฟันดาบต่อไป แต่เมื่อได้รับการทาบทามอีกครั้ง คราวนี้เขาตัดสินใจว่าจะ "ไป" ทำไมถึงไป? แจ๊คสันเคยให้สัมภาษณ์กับ ดีเจเฟร์นันโด เวนตูร่าว่า "ความฝันของผมที่มีมาตลอดคือได้ร้องเพลง และได้เต้น" โอเค ฟันดาบเขาก็รักนั่นแหละ แต่แพสชั่นในใจจริงๆ คือการเป็นศิลปินต่างหาก ดังนั้นเมื่อมีโอกาสเขาก็ต้องลองดู
จากการประกวดที่ฮ่องกง ซึ่งมีคนเข้าร่วมออดิชั่นมากกว่า 2,000 คน ปรากฏว่า แจ๊คสันได้อันดับ 1 นั่นทำให้เขาได้รับข้อเสนอให้เข้าไปเป็นเด็กฝึกหัดของ JYP ทันที โอกาสในการเป็นไอดอลอยู่ตรงหน้าแล้ว
.
แต่คำถามที่น่าสนใจที่สุดก็มาถึง นั่นคือ เขาจะเลือกอะไร?
.
ทางแรก คือรับทุนการศึกษาจากสแตนฟอร์ด เพื่อพัฒนาสกิลฟันดาบให้กลายเป็นระดับโลก และได้เข้าร่วมแข่งขันโอลิมปิก สานต่อความฝันของคุณพ่อ มันเป็นสิ่งที่เขาทำได้ดีมาตลอด และสามารถเก่งขึ้นกว่านี้ได้อีกอยู่แล้ว
.
กับทางเลือกที่สอง นั่นคือก้าวไปสู่ความท้าทายใหม่ที่เกาหลีใต้ กับเรื่องดนตรีที่เขาชอบ แม้จะต้องนับหนึ่งใหม่ แต่มันก็เป็นโอกาสทองแล้ว
.
และคำตอบจากแจ๊คสัน ก็คือ เขาอยากเลือกในสิ่งที่อยากทำจริงๆ มากกว่า นั่นคือการเป็นศิลปิน
แจ๊คสันเปิดเผยเรื่องนี้ในภายหลังทางรายการทีวี Youth Inn ว่า "ในสายตาของพ่อแม่แล้ว (หากรับทุนจากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด) ลูกชายจะได้ประโยชน์จากทั้งการเรียนและการฟันดาบ แต่ผมตัดสินใจบอกพ่อแม่ไปตรงๆ ว่า จะบินไปเกาหลีเพื่อเป็นนักร้อง พอพวกท่านได้ยินก็พูดประมาณว่า นี่มันมุกตลกอะไรหรอ แกบ้าหรือเปล่า"
.
"เขาบอกว่า พักนี้แกเหนื่อยเกินไปหรือเปล่า สภาพร่างกายมีปัญหาอะไรไหม พวกเขาคิดว่าผมล้อเล่น"
"แต่ตอนนั้นผมก็คิดว่า ผมจะต้องฟันดาบไปตลอดชีวิตจริงๆ หรือ ทำไมผมถึงไม่สามารถไปลองอะไรใหม่ๆ ที่อยากทำได้ล่ะ"
"ตอนผมอายุ 80 ไม่อยากบอกหลานๆ ว่าตัวเองยังไม่ได้ทำทุกสิ่งอย่างเต็มที่ ผมเลยตัดสินใจแบบนั้น เพราะไม่อยากเสียใจทีหลังกับอะไรเลย"
.
นั่นทำให้เขาตัดสินใจว่า จะยุติการฟันดาบ แล้วไปเริ่มต้นด้วยการเป็นเด็กฝึกที่ JYP อย่างไรก็ตาม เป็นคุณแม่ที่ขออย่างสุดท้ายว่า ถ้าแจ๊คสันอยากเป็นศิลปิน K-Pop ก็ได้ แต่ช่วยคว้าแชมป์เยาวชนเอเชียให้ดูหน่อยได้ไหม
.
ทำไมคุณแม่ถึงขอแบบนั้น มีการวิเคราะห์กันว่า พ่อแม่ก็อยากมั่นใจ ว่าที่ลูกตัดสินใจละทิ้งฟันดาบ ไม่ใช่เพราะท้อแท้ว่าตัวเองเล่นไม่เก่ง เลยอยากเลิกไปทำอย่างอื่น แต่ถ้าเกิดแจ๊คสันเป็นแชมป์เยาวชนเอเชียได้จริงๆ ก็จะยืนยันได้ว่า เขามั่นใจในฝีมือฟันดาบ แต่ที่ไปเป็นไอดอลเพราะตัดสินใจแน่วแน่แล้วจริงๆ
เว็บ Koreaboo อธิบายเรื่องนี้ว่า "วัยรุ่นหลายคน อาจจะไม่สนใจในสิ่งที่พ่อแม่ขอ แต่ไม่ใช่กับแจ๊คสัน หลังจากชนะออดิชั่น เขายังคงฟันดาบต่อไป เพื่อทำให้เห็นว่ามีความรักในกีฬามากแค่ไหน"
เดือนมีนาคม 2011 การแข่งขัน Asian Junior and Cadet Fencing Championships หรือศึกเยาวชนชิงแชมป์เอเชีย จัดขึ้นที่ห้างแฟชั่นไอส์แลนด์ ที่ประเทศไทย
.
แจ๊คสันเดินทางมาแข่งฟันดาบเป็นอีเวนต์สุดท้าย เพื่อทำในสิ่งที่สัญญาไว้กับพ่อแม่ นั่นคือ "การเป็นอันดับหนึ่งในเอเชีย" และสามารถฝ่าฟันถึงรอบชิงชนะเลิศได้สำเร็จ ไปเจอกับ ฟาซิล ชิงกี้ จากคาซัคสถาน
.
ผลการแข่งขันคือ แจ๊คสัน ชนะด้วยคะแนนตัดสิน 15-14 คว้าเหรียญทองได้สำเร็จ ครองบัลลังก์นักฟันดาบเยาวชนอันดับหนึ่งของเอเชียอย่างเป็นทางการ เขาทำตามที่แม่ขอได้จริงๆ และจุดนั้นเอง ก็ถึงเวลาอันสมควรแล้ว ที่แจ๊คสันจะเปลี่ยนเส้นทาง ไปสู่สิ่งที่เขามีแพสชั่นจริงๆ นั่นคือการเป็นไอดอล
.
ถามว่าช่วงเวลาที่เล่นฟันดาบมาตลอดหลายปี มันเสียเปล่าไหม คำตอบคือ ก็ไม่ เพราะมีสิ่งที่เขาเรียนรู้มากมายในช่วงที่เป็นนักกีฬา โดยเฉพาะเรื่องความจริงจังในการทำงาน คุณจะทำเป็นเล่นไม่ได้เด็ดขาด
.
แจ๊คสันเล่าว่า "คุณพ่อของผมสอนว่า ถ้าเราชนะคู่แข่ง 15-0 ได้ ก็จงชนะด้วยสกอร์นั้นไปเลย อย่าทำเล่นๆ แล้วปล่อยให้สกอร์เป็น 15-1 คุณพ่อให้ความสำคัญกับเรื่องทัศนคติอย่างมาก ว่าคุณต้องจริงจังกับทุกแต้มในการแข่งขัน คือจะแพ้หรือชนะไม่สำคัญ แต่จะทำเป็นเล่นไม่ได้"
.
การจริงจังกับทุกสิ่งที่ทำ ไปให้สุดในทุกๆ ทาง เป็นสิ่งที่เขาโดนปลูกฝังมาตลอด และมันสะท้อนตัวตนของแจ๊คสัน ทั้งในช่วงที่เป็นนักกีฬา และช่วงที่เป็นศิลปินด้วย
.
เรื่องราวต่อจากนั้น แจ๊คสัน เดินทางไปเกาหลีใต้ในเดือนกรกฎาคม 2011 ในฐานะเด็กฝึกหัด และเส้นทางสายไอดอลของเขาก็เริ่มต้นอย่างเป็นทางการ ก่อนจะก้าวไปสู่ศิลปินระดับนานาชาติได้สมความตั้งใจ
.
แต่จนถึงวันนี้ ยังมีการพูดถึงกันบ่อยๆ ว่าตัวแจ๊คสันจะรู้สึกเสียดายบ้างไหม เพราะถ้าไม่เลิกฟันดาบ แล้วไปอัพเลเวลที่ มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดล่ะก็ เขาอาจไปถึงเหรียญโอลิมปิกได้อย่างไม่ยากเลย เพราะเขามีพรสวรรค์ของแท้ เคยถึงขนาดเป็นแชมป์เยาวชนเอเชียมาแล้ว
.
ในปี 2017 รายการเกมโชว์ของจีน ชื่อ Beat the Champions มีการทำกิจกรรม เอานักฟันดาบเหรียญทองโอลิมปิกของจีน มาแข่งขันกับไอดอล และได้เชิญแจ๊คสันมาร่วมรายการด้วย ในรายการ พิธีกรถามแจ๊คสันว่า "การได้มาฟันดาบกับนักกีฬาโอลิมปิกทั้งสองคน พอจะชดเชยความเสียใจที่คุณไม่ได้ไปโอลิมปิกด้วยตัวเองได้ไหม"
.
แจ๊คสันตอบว่า "คิดไม่ถึงเลย ว่าวันนี้จะได้มาฟันดาบกับพี่ชาย ผมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างมากจริงๆ แต่สำหรับผม ไม่เคยเสียใจที่เลือกเส้นทางนี้"
สิ่งที่สะท้อนให้เห็นจากการตัดสินใจของแจ๊คสันก็คือ คุณจะเลือกทางไหนก็ได้ แต่เมื่อตัดสินใจแล้วก็ต้องไปให้มันสุดทางไปเลย อย่าทำอะไรครึ่งๆ กลางๆ เด็ดขาด และอย่าเสียใจในทางเลือกของตัวเอง
.
ส่วนในเคสนี้ เราก็พอจะเห็นว่า เมื่อประตูบานหนึ่งปิดไป แต่ก็เป็นการไปเปิดประตูอีกบานหนึ่งขึ้นมา จริงอยู่ว่า โลกนี้อาจเสียนักฟันดาบระดับโอลิมปิกไปหนึ่งคน แต่เมื่อมันแลกมากับศิลปินที่สร้างแรงบันดาลใจให้ผู้คนนับล้าน ก็คงพอจะบอกได้ว่า เป็นการตัดสินใจที่คุ้มค่าแล้วจริงๆ
.
บทความโดย : วิศรุต สินพงศพร
ที่มา https://www.facebook.com/workpointTODAY/posts/1987163734986228
“รถไฟไทยทำ” ตู้โดยสารต้นแบบ ใช้ชิ้นส่วนผลิตในไทย โมเดลระดับเฟิร์สคลาส พร้อมจัดเต็มนวัตกรรมในตัวรถ
นายศิริพงศ์ พฤทธิพันธุ์ รองผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย หรือ รฟท. เปิดเผยว่า รฟท. ร่วมกับสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง หรือ สจล. จัดทำโครงการวิจัยรถไฟไทยทำ หรือการพัฒนารถไฟโดยสารต้นแบบ ตามนโยบายกระทรวงคมนาคมในโครงการ “ไทยเฟิร์ส” ไทยทำ ไทยใช้ คนไทยต้องได้ก่อน เพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมในประเทศ และลดนำเข้าเทคโนโลยี โดยใช้งบประมาณในการวิจัยตัวรถ รวมแคร่ และงานระบบ ประมาณ 32 ล้านบาท โดยได้รับสนับสนุนทุนวิจัยจากหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ หรือ บพข. จำนวน 25 ล้านบาท และบริษัท กิจการร่วมค้าไซโนเจน-ปิ่นเพชร จำกัด 7 ล้านบาท
.
นายศิริพงศ์ กล่าวต่อว่า ได้ผลิตตู้รถไฟโดยสาร 25 ที่นั่งมาเป็นต้นแบบ โดยใช้โมเดลการให้บริการ แบบ First Class และ Business Class ของสายการบิน ประกอบด้วย Super Luxury Class 8 ที่นั่ง และ Luxury Class 17 ที่นั่ง คาดว่าการพัฒนารถไฟโดยสารฯ ครั้งนี้จะแล้วเสร็จภายในต้นปี 66 จากนั้นจะทดสอบร่วมกับ รฟท. อีกประมาณ 6 เดือน เพื่อให้เป็นไปตามข้อกำหนดและมาตรฐานด้านความปลอดภัย ก่อนส่งมอบ รฟท. นำไปให้บริการประชาชนได้ภายในปลายปี 66
.
สำหรับโครงการวิจัยฯ แบ่งเป็น 3 ขั้นตอน ประกอบด้วย การออกแบบและกำหนดคุณลักษณะ การผลิต และการทดสอบใช้งานจริง อยู่ระหว่างขั้นตอนการผลิต โครงสร้างตัวรถและองค์ประกอบหลักได้จัดทำแล้วเสร็จ และผ่านการทดสอบตามมาตรฐานระดับสากลแล้ว
.
ส่วนกำลังผลิตชิ้นส่วนเพื่อนำมาติดตั้ง ชิ้นส่วนหลักดำเนินการโดยผู้ประกอบการในประเทศเป็นหลัก ซึ่งคณะนักวิจัยได้คำนวณออกแบบ และทดสอบ เพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล และข้อกำหนดของ รฟท. โดยรถโดยสารต้นแบบนี้ จะนำไปร่วมขบวนรถไฟของ รฟท. ได้หลากหลายรูปแบบ ทั้งนี้จากผลการดำเนินงานจนถึงปัจจุบัน พบว่า ปริมาณมูลค่าชิ้นส่วนที่ผลิตในประเทศ คิดเป็นมูลค่าไม่น้อยกว่า 40% ตามนโยบายของกระทรวงคมนาคม ขณะที่ชิ้นส่วนที่ต้องใช้เทคโนโลยีขั้นสูง และไม่มีผู้ประกอบการในประเทศ ได้เกิดความร่วมมือกับเจ้าของเทคโนโลยีในต่างประเทศ ในการถ่ายทอดเทคโนโลยีผ่านกระบวนการออกแบบ และทดสอบร่วมกันกับนักวิจัยไทย
.
นอกจากนี้เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับรถไฟโดยสารต้นแบบ คณะนักวิจัยยังได้สร้างนวัตกรรมเพื่อใช้งานในตัวรถด้วย อาทิ ระบบฝังตัวอัตโนมัติในตัวรถ ระบบ Smart Infotainment ด้วยเทคโนโลยี 5G ระบบฟอกอากาศด้วย UVC เป็นต้นเบื้องต้นจากการประเมินค่าใช้จ่ายในการพัฒนารถไฟโดยสารต้นแบบ พบว่า มีราคาถูกกว่าการนำเข้าไม่น้อยกว่า 30% ก่อให้เกิดประโยชน์ทั้งทางตรง และทางอ้อมต่อ รฟท. และประเทศชาติอย่างแท้จริง
ยอดเซียนเขียนโค้ดอินเดีย คว้าแชมป์โลก พร้อมเงินล้าน แต่สุดท้ายโดนริบรางวัลเพียงเพราะเขาเด็กเกินไป
สุดยอดแชมป์เขียนโค้ด โค่นเซียนมืออาชีพกว่าพันคน แต่สุดท้ายคว้าได้เพียงลมคนนี้ เป็นเด็กหนุ่มวัยรุ่นที่มีอายุเพียงแค่ 15 ปี นามว่า Vedant Devkate มาจากเมือง นาคปุระ ในแคว้นมหาราษฏระ ทางภาคตะวันตกของอินเดีย ที่ตอนนี้ขึ้นแท่นโปรแกรมเมอร์หนุ่มอนาคตไกลที่มีบริษัทชั้นแนวหน้าจองตัวล่วงหน้าแล้ว ขอเพียงแค่ให้เขาเรียนหนังสือภาคบังคับให้จบเสียก่อน
.
ก่อนหน้านี้ Vedant Deokate เป็นเพียงแค่เด็กธรรมดา ชอบเล่นเกมมือถือจนติดจอไม่ต่างจากเด็กสมัยใหม่ทั่วๆไป พ่อของเขาเป็นวิศวกรไฟฟ้า ส่วนแม่ของเขาเป็นอาจารย์สอนวิชาคอมพิวเตอร์ในวิทยาลัยแห่งหนึ่งในเมืองนาคปุระ
.
ด้วยความกังวัลว่าเขาจะหมกมุ่นในเกมมากเกินไป แม่ของ Devkate จึงให้เขาแบ่งเวลามาเรียนวิชา Coding กับแม่ จะได้มีวิชาพื้นฐานเขียนโปรแกรมติดตัวบ้าง แต่ปรากฏว่าเขาเริ่มชอบการเขียนโค้ด และลงเรียนวิชาเขียนโค้ดขั้นสูงเพิ่มด้วยตัวเองกว่า 24 คอร์ส
.
แล้ววันหนึ่ง ขณะที่เขาแอบส่อง Instagram เล่นๆ ก็ไปเจอประกาศแข่งขันเซียนเขียนโค้ดระดับโลก เขาจึงลองลงทะเบียนสมัครดูด้วยชื่อบัญชี Instagram ของแม่ โดย Laptop เครื่องเก่าที่ทั้งช้า และตกรุ่นมาสร้างเว็บไซท์ www.animeeditor.com ที่ให้ผู้ใช้สามารถสร้าง blog ส่วนตัว พร้อม upload วิดีโอจาก Youtube และ chatbox เพื่อสร้างคอมมูนิตี้ที่สนใจคลิปวิดีโดคล้ายกัน
.
โดยเขาเขียนโค้ดทั้งหมด 2,066 บรรทัดภายในระยะเวลา 2 วัน และสามารถเอาชนะเซียนเขียนโค้ดมืออาชีพจากทั่วโลกนับพันคน คว้าที่ 1 ของการแข่งขันงานนี้มาได้
.
และผู้ชนะของรายการนี้จะได้รับเงินรางวัล 44,000 ดอลลาร์ (ประมาณ 1.5 ล้านบาท) ที่มาพร้อมกับสัญญาการจ้างงานจากบริษัท IT ชั้นนำในสหรัฐอเมริกา ในตำแหน่งโปรแกรมเมอร์
.
แต่ทว่าผู้จัดการแข่งขันจำเป็นต้องยกเลิกรางวัลไปเมื่อพบว่าผู้ชนะเป็นเพียงเด็กมัธยมต้น วัยเพียง 15 ปีเท่านั้น เด็กเกินกว่าที่ทางบริษัทจะรับเข้าทำงานได้
.
แม้ว่าจะไม่ได้รางวัลอะไรเลยในตอนนี้ แต่บริษัทบอกกับเขาว่า จะยังคงเก็บประวัติ และผลงานของเขาไว้ในฐานข้อมูลของฝ่ายบุคคล รอจนกว่าเขาจะเรียนหนังสือจบ ให้รีบติดต่อเข้ามาได้ทันที ยินดีต้อนรับเสมอ
.
และยังทำให้ชื่อเสียงของเด็กหนุ่มเซียนโค้ดจากอินเดียคนนี้ โด่งดังไปทั่ว ที่ต่างชื่นชมในความสามารถ อีกทั้งยังสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศ ที่ได้ชื่อว่าเป็นดินแดนแห่งนัก IT ที่เก่งกาจเป็นอันดับต้นๆของโลก โดยไม่จำเป็นต้องเรียนจบมหาวิทยาลัยชื่อดัง มีประสบการณ์ทำงานที่ไหน ใช้อุปกรณ์ IT ล้ำสมัยอะไร หรือมีอายุเท่าไหร่ ก็สามารถสร้างผลงาน IT ที่โดดเด่นกว่าใครขึ้นมาได้ ขอเพียงแค่มีความตั้งใจที่จะเรียนรู้ ฝึกฝนอย่างลึกซึ้ง จริงจัง ก็สามารถพัฒนาตัวเองให้เก่งได้ โดยไม่ต้องรอใบปริญญาด้วยซ้ำ
อ้างอิง
WION
Times of India
NDTV
ม.ขอนแก่น ตอบรับความต้องการของโลก เปิดวิทยาลัยการคอมพิวเตอร์ ผลิตบัณฑิตลุยตลาดงานด้านไซเบอร์
เมื่อเร็วๆนี้ มหาวิทยาลัยขอนแก่นจัดงาน Grand Opening College of Computing โดยมี รศ.นพ.ชาญชัย พานทองวิริยะกุล อธิการบดีมหาวิทยาลัยขอนแก่น กล่าวรายงานการจัดงาน ดร.ณรงค์ชัย อัครเศรณี นายกสภามหาวิทยาลัยขอนแก่น ประธานในพิธีกล่าวเปิดงาน ผ่านระบบ Zoom รองศาสตราจารย์สิรภัทร เชี่ยวชาญวัฒนา รักษาการแทนคณบดีวิทยาลัยการคอมพิวเตอร์ กล่าวต้อนรับแขกผู้มีเกียรติ ในการนี้มีผู้บริหารมหาวิทยาลัย ผู้บริหารคณะ/หน่วยงาน คณาจารย์ และนักศึกษา ร่วมกิจกรรมกว่า 250 คน ณ ห้องประชุมวิทยวิภาส 1 อาคารวิทยวิภาส มหาวิทยาลัยขอนแก่น
.
รศ.สิรภัทร เชี่ยวชาญวัฒนา รักษาการแทนคณบดีวิทยาลัยการคอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น กล่าวว่า วิทยาลัยการคอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น (College of Computing, Khon Kaen University) เป็นส่วนงานเทียบเท่าคณะวิชา โดยพื้นฐานเดิมมาจากสาขาวิชาวิทยาการคอมพิวเตอร์ คณะวิทยาศาสตร์ ซึ่งก่อตั้งเป็นภาควิชาเมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2537 โดยได้ผลิตบัณฑิตระดับปริญญาตรีมาแล้ว 25 รุ่น และปริญญาโท ปริญญาเอกมามากกว่า 10 รุ่น
.
“วิทยาลัยการคอมพิวเตอร์ มีวิสัยทัศน์ พันธกิจ และนโยบายเพื่อเป็นส่วนงานใหม่ที่มีความเฉพาะด้าน computing ขั้นสูง โดยเปิดสอนหลักสูตรทั้งระดับปริญญาตรี ปริญญาโท และปริญญาเอก รวมทั้งสิ้น 8 หลักสูตร และมีแผนการจะเปิดหลักสูตรใหม่ 2 หลักสูตร ในปีพ.ศ. 2566 คือ หลักสูตรปัญญาประดิษฐ์ และหลักสูตรความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ ซึ่งเป็นหลักสูตรที่มีความต้องการสูงสำหรับตลาดงานด้าน computing วิทยาลัยการคอมพิวเตอร์” รศ.สิรภัทร กล่าว
.
พิธีเปิดวิทยาลัยคอมพิวเตอร์ขึ้นในครั้งนี้ หวังให้เป็นที่รู้จักต่อสาธารณชน เป็นการสร้างโอกาส และมิติที่ท้าทายในการเผยแพร่ชื่อเสียง กิจกรรมที่นักศึกษา บุคลากรได้มีส่วนร่วม ตลอดจนกิจกรรมความร่วมมือกับหน่วยงานทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ซึ่งกิจกรรมต่างๆ ที่จัดขึ้นจะให้ความรู้ที่เป็นประโยชน์ในด้านศาสตร์ทางด้านคอมพิวเตอร์ และการเผยแพร่องค์ความรู้ของวิทยาลัยให้เป็นที่รู้จัก ทั้งด้านวิจัย นวัตกรรม และผลงานของคณาจารย์และนักศึกษาด้าน Computing
.
รศ.นพ.ชาญชัย พานทองวิริยะกุล อธิการบดีมหาวิทยาลัยขอนแก่น กล่าวว่า พิธีเปิดตัววิทยาลัยการคอมพิวเตอร์ในครั้งนี้ จัดขึ้นเพื่อประชาสัมพันธ์วิทยาลัยการคอมพิวเตอร์ ออกสู่สาธารณชน ในฐานะเป็นส่วนงานใหม่เทียบเท่าคณะวิชา โดยยกฐานะจากสาขาวิชาวิทยาการคอมพิวเตอร์ คณะวิทยาศาสตร์ และได้รับการประกาศในราชกิจจานุเบกษา ณ วันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ.2565
.
ดร.ณรงค์ชัย อัครเศรณี นายกสภามหาวิทยาลัยขอนแก่น กล่าวว่า ปัจจุบันการคำนวณคอมพิวเตอร์ หรือ Computing เป็นสิ่งที่เป็นความท้าทายและเป็นแนวโน้มที่สำคัญของโลก ทางมหาวิทยาลัยขอนแก่นได้คำนึงถึง 4 ประเด็นหลัก ได้แก่
.
• ประเด็นที่หนึ่ง Computing แนวโน้มของมหาวิทยาลัยนานาชาติในการให้ความสำคัญในการจัดตั้งส่วนงานที่มีความเฉพาะด้าน Computing ที่มีเพิ่มมากขึ้น เพื่อผลิตบัณฑิตที่เป็นความต้องการของโลก และให้การสนับสนุนทรัพยากรต่างๆ จากภาคเอกชนหรือภาคอุตสาหกรรม
• ประเด็นที่สองคือ แนวโน้มใหม่ในการคำนวณคอมพิวเตอร์ (Emerging Trend in Computing) ที่จะเป็นกระแสคลื่นด้านเทคโนโลยีที่สำคัญในสองทศวรรษถัดไป เช่น ปัญญาประดิษฐ์ และความมั่นคงและความปลอดภัยไซเบอร์ และอื่น ๆ
• ประเด็นที่สาม คือ บริบททางด้านการเมือง สังคม และเศรษฐกิจ (Politics & Social & Economics) ซึ่งการคำนวณคอมพิวเตอร์จะมีผลกระทบต่อการปรับเปลี่ยนทั้งในปัจจุบันและอนาคตอันใกล้
• ประเด็นสุดท้าย คือการดำเนินตาม วิสัยทัศน์ของมหาวิทยาลัยขอนแก่น ในการเป็น “มหาวิทยาลัยวิจัยและพัฒนาชั้นนำระดับโลก" มีหน้าที่ในการผลิตกำลังคนที่มีคุณภาพ เพื่อการพัฒนาประเทศ การสร้างองค์ความรู้ในระดับโลก และเป็นส่วนหนึ่งของชุมชมและสังคม
.
ศาสตร์ด้านการคำนวณคอมพิวเตอร์ หรือ Computing จึงถือว่าเป็นแนวโน้มของโลก (Global Mega Trend) และสามารถขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศที่สำคัญมาก ไม่ว่าจะเป็น ด้านความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ ด้านปัญญาประดิษฐ์ ด้านเทคโนโลยีอินเตอร์เน็ตและประมวลผล Cloud Computing, Blockchain, Def, NFT, โลกเสมือน Metaverse
.
นอกจากนั้น ยังมี การบูรณาการศาสตร์ Computing เพื่อประยุกต์ในการสร้างความเป็น Intelligence ให้กับศาสตร์อื่นๆ อาทิเช่น ด้านการแพทย์ การเกษตร สถาปัตยกรรม สังคม ศิลปะ และต่างๆ ได้อีกมาก นับเป็นก้าวกระโดดที่สำคัญในการดำเนินการเชิงรุก ในการนำไปสู่การกำหนดทิศทางของศาสตร์ด้านการคำนวณคอมพิวเตอร์
.
การสนับสนุนให้เยาวชนในประเทศมีพื้นฐานที่สำคัญด้านการออกแบบ การแก้ปัญหาด้วยการคำนวณคอมพิวเตอร์ การสร้างความรู้ความเข้าใจในดิจิทัล การคำนวณคอมพิวเตอร์และปัญญาประดิษฐ์สำหรับบุคคลทั่วไป รวมไปถึง การผลิตบัณฑิต และพัฒนาบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถสูงด้านการคำนวณคอมพิวเตอร์ที่สามารถตอบสนองภาครัฐ ภาคเอกชนและภาคอุตสาหกรรมได้
.
การวิจัยด้านการคำนวณขั้นสูงในระดับแนวหน้า (Frontier Research) การสร้างนวัตกรรมด้านการคำนวณคอมพิวเตอร์ และปัญญาประดิษฐ์ (Computing & AI Innovation) ความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ (Cybersecurity) ศาสตร์คอมพิวเตอร์ที่สำคัญอื่นๆ จะสามารถยกระดับและช่วยเหลือสังคมและเศรษฐกิจของประเทศ ก่อให้เกิดทักษะอาชีพใหม่ ที่สามารถรองรับกับสังคมในยุคเทคโนโลยีดิจิทัลใหม่ สอดคล้องและตอบรับการเปลี่ยนแปลงของโลกในยุคอุตสาหกรรม 5.0 เกิดการสร้างและมีเทคโนโลยีของตนเองให้เป็นที่ประจักษ์ในระดับนานาชาติได้ต่อไป
คุณตา ร้านกระเพาะปลา น้ำตาซึม พลังโซเชียลแห่ช่วย จนไม่ต้องปิดกิจการแล้ว
หนุ่มโพสต์โซเชียล คุณตาขายกระเพาะปลาเกือบปิดร้านเพราะขาดทุนไม่มีลูกค้า ได้พลังโซเชียลช่วยพลิกชีวิตคนแห่อุดหนุน
.
เมื่อ 2-3 วันที่ผ่านมาผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่งที่ใช้ชื่อว่า Warakron Sangsupon ได้โพสต์เรื่องราวของคุณตาท่านหนึ่งที่ขายกระเพาะปลาอยู่ที่ ตลาดน้ำโท้ง ใน อ.หางดง จังหวัดเชียงใหม่ แต่ไม่มีลูกค้าเลย จึงตัดสินใจโพสต์ลงบนเฟซบุ๊ก จนกระทั่งเกิดกระแสพลังโซเชียลช่วยร้านของคุณตาให้พลิกฟื้นอีกครั้ง โดยเรื่องราวทั้งหมดมีดังต่อไปนี้
.
เรื่องมีอยู่ว่าวันนี้ไปกินข้าวที่กาดน้ำโท้ง หางดง พอกินเสร็จก็เดินขึ้นรถไปรอแฟน สักแปปนึงแฟนเดินมา พร้อมถือกระเพาะปลามา 1 ถุง ละบอกว่า เดินผ่านหน้าร้าน เห็นตากับยาย 2 คนนั่งขาย แต่ไม่มีลูกค้าเลย เลยซื้อมาถุงนึง พอแฟนผมพูดจบ เราก็มองหน้ากัน แล้วว่าไปอุดหนุนคุณตามั้ย อย่างน้อยก็ซื้อไปฝากพนักงานที่ร้านเรา ผมก็รีบลงจากรถไป พอไปถึงหน้าร้าน ก็ตามที่แฟนผมเล่า
.
ภาพที่เห็นคือ มีตากับยาย 2 คนนั่งรอลูกค้า ในขณะที่ร้านอื่น ยังพอได้ขายกันบ้าง จากนั้นผมก็บอกคุณตาครับ ผมเอากระเพาะปลา 10 ถุงครับ คุณตารีบลุก แล้วเหมือนรน ๆ นิดนึง อาจจะไม่ค่อยเจอใครมาสั่งเยอะขนาดนี้ ก็เลยบอกคุณตาไม่ต้องรีบนะ ผมรอได้ครับ ค่อย ๆ ทำ แต่ผมขอโอนหรือ Scan จ่ายได้มั้ยครับ
.
คุณตาบอกได้ครับ แล้วก็หยิบมือถือออกมา เข้า App ธนาคาร ตอนแรกเราก็ไม่ได้สนใจอะไร ก็นึกว่าทำเป็น สักพักยื่นมือถือมา บอกช่วยดูเลขบัญชีให้หน่อยได้มั้ย ตาทำไม่เป็น ผมก็บอกได้ครับผมดูให้ #จุดพีคมันอยู่ตรงนี้ พอจะเข้าดูเลข บช. เพื่อโอนเงินให้ตา ผมกลับไปเห็น อันนี้ไม่ได้ตั้งใจนะ แต่มันโชว์ขึ้นมา ขอโทษตาด้วยนะครับ เงินใน บัญชีตามีอยู่ 3x บาท
.
ใจผมเต้นทันที ความคิดทุกอย่างเปลี่ยน จากตอนแรก ผมคิดจะซื้อแค่ 10 ถุง ตอนนี้ผมเลยคืนมือถือให้ตาไป บอกตาผมไม่โอนละครับ เปิดกระเป๋าเงินตัวเองดู ว่ามีเงินสดสักเท่าไหร่ ก็ได้มาจำนวนนึง เลยบอกตาว่า งั้นเอางี้ละกัน ผมเหมาตานะวันนี้ แต่ผมเอาแค่ 10 ถุง ที่เหลือตาแจกให้ใครก็ได้นะครับ ถือว่าผมอุดหนุนตา และเราได้ทำบุญร่วมกัน
.
ตามือสั่น ดีใจ ตื่นเต้น ผมเองก็ตื่นเต้น ใจพองโตมาก หลังจากนั่งรอตาใส่กระเพาะปลา ก็ได้พูดคุยสอบถามกันนิดหน่อย คุณตาอายุ 83 ปีแล้ว มีวิชาติดตัวมาจากเยาวราช คือกระเพราะปลา ขายมาได้ 9 เดือน แต่เดือนนี้จะขายเป็นเดือนสุดท้ายแล้ว เพราะขาดทุน
.
ตาบอกว่าอาหารแบบนี้ ไม่ค่อยเป็นที่นิยม ต้องคนที่ชื่นชอบจริงๆ ถึงจะมาซื้อกิน ผมฟังละผมยังจุกอก เพราะอะไรอ่ะเหรอ ก็เพราะผมก็คือพ่อค้าไง ผมก็เคยผ่านมา ทุกวันนี้บางทีก็เป็น นั่งรอลูกค้า ดูคนอื่นเค้าขายได้ ลูกค้าน้อย บางทีขายไม่ได้ก็มี แต่เอาเหอะครับ ผมยังมีแรง ยังอายุน้อยกว่าคุณตาเยอะ ผมยังพอหาเงินได้ ที่ผมช่วยคุณตาวันนี้ อาจจะไม่ได้มากมาย แต่ถือว่าเป็นกำลังใจให้กัน สำหรับคนอาชีพเดียวกัน สุดท้ายนี้ วันนี้ผมมีความสุขมาก ใครสนใจกระเพราะปลา ลองไปอุดหนุนคุณตาได้นะครับ ขายที่ตลาดน้ำโท้ง หางดง หรือจะสั่งสำหรับจัดเลี้ยงก็ได้นะครับ ถือว่าช่วยอุดหนุนคุณตาครับ ขอบคุณคุณตานะครับที่เป็นกำลังใจดี ๆ ให้ผมเช่นกัน ในบางอารมณ์ผมคิดว่าผมแย่แล้ว ยังมีคนที่ลำบากกว่าผมอีกเยอะ สู้ ๆ ครับตา อากงกระเพาะปลาเยาวราช
.
หลังจากที่โพสต์นี้เผยแพร่ออก เจ้าของเฟซบุ๊ก ได้กลับมาอัปเดตเรื่องนี้อีกครั้งโดยเป็นข่าวดี ที่คุณตาเริ่มมีลูกค้ามาซื้อ บางรายถึงกับเหมา ซึ่งโพสต์ดังกล่าวระบุข้อความว่า "วันนี้ผมลองโทรหาคุณตา ช่วงบ่าย ๆ จะสอบถามว่าเป็นไงบ้าง"
.
ผม : คุณตาครับ จำผมได้มั้ย ที่ผมไปเหมาคุณตาเมื่อวาน เป็นไงบ้างครับ ขายดีขึ้นมั้ย ผมช่วยโพสต์ให้คุณตา มีคนจะช่วยอุดหนุนคุณตาเยอะเลยครับ
.
คุณตา : จำได้ครับ ขายดีขึ้นครับ วันนี้ก็มีคนมาเหมา พรุ่งนี้ก็จะมีคนมาสั่งอีก
.
ผม : อ่อครับ ดีใจด้วยนะครับ ตาก็ทำเท่าที่แรงตัวเองไหวนะครับ ไหวแค่ไหนก็เอาแค่นั้นครับ
.
คุณตา : ขอบคุณมาก ๆ เลยนะที่ช่วยเหลือผม ขอบคุณที่ให้ชีวิตใหม่ผม ขอบคุณที่ทำให้ผมมีแรงสู้ต่อ ผมจะไม่มีวันลืมบุญคุณเลยครับ ผมจะขายต่อไปครับ
.
ผม : ดีใจด้วยนะครับคุณตา สู้ ๆ นะครับ ผมเป็นกำลังใจให้ครับ
.
ตอนนี้คุณตาอยู่แมคโคร ซื้อของ 2 คนตายาย สำหรับเตรียมขายพรุ่งนี้ครับ
.
คุณตาได้ชีวิตใหม่ในวัย 83 ปี ...ขอบคุณทุกท่านจริง ๆ ครับ
ในโลกแห่งความเป็นจริง “คนเราไม่เท่ากัน” แต่ถ้าเราจะเป็นสังคมที่คนเท่ากัน ต้องหัด “มอง” คนที่แตกต่าง ไม่ว่าจะการศึกษา จุดยืนการเมือง และเพศวิถี “ให้เท่ากัน”
.
ถ้อยคำกล่าวที่เป็นทั้งคำถาม และคำตอบสุดแสนน่าชวนคิดในตัวนี้ มาจาก 'ตอง' ทศพล ชัยสัมฤทธิ์ผล นักข่าวมากประสบการณ์ ผู้อยู่ในแวดวงสื่อมานานร่วม 10 ปี เคยร่วมงานมาแล้วกับสื่อทุกรูปแบบไม่ว่าจะเป็นสื่อกระแสหลัก, สื่อทีวีดิจิทัล และสื่อออนไลน์ จบราชภัฏสวนดุสิต จบปริญญาโท International Journalism (เกียรตินิยมอันดับ 1), Cardiff University, แคว้นเวลส์ สหราชอาณาจักร โดยเขาได้โพสต์เป็นข้อคิดถึงกระแสดรามาราชภัฏในขณะนี้ลงเฟซบุ๊กไว้อย่างน่าสนใจ ว่า...
.
อ่านประเด็นที่กลายเป็นข้อถกเถียงในโซเชียลมีเดียมา 2 วันแล้ว เรื่องการ “มองต่ำ” นักศึกษาราชภัฏ ถ้าเป็นสมัยก่อน มันคงทริกเกอร์ความรู้สึกบางอย่างในใจผมนะ
.
แต่เวลานี้ สิ่งที่ผมรู้สึกคือ “เวทนา” สังคม และปัจเจกบางกลุ่ม ที่ยังยึดติดกับอันดับชั้น และสถาบันอย่างหน้ามืดตามัวแบบที่คนชอบเรียก “สลิ่ม” ได้ไหม กรณีนี้ สลิ่มสถาบันศึกษา?
.
คุณค่าเหนือสถาบัน…จะมีจริงได้ไหมในไทย?
(รูปสมัยเรียนจบใหม่ ๆ ปี 2554)
.
—-เรื่องราวของผม—-
.
ผม “เลือก” เรียนราชภัฏสวนดุสิตครับ (ปัจจุบันเหลือแค่สวนดุสิต) ด้วยเหตุผลว่า สอบติด มศว. แต่กำลังทรัพย์ทางบ้านไม่อำนวย ทั้งค่าหอ และอื่น ๆ แม้จะเรียน รชภ.ดุสิต ผมก็ติดหนี้ กยศ. นะ
.
พูดถึงหลักสูตร โอเค มันอาจไม่สูงส่งเน้นวิชาการเหมือนมหาวิทยาลัยต้น ๆ ของไทย แต่ไม่ใช่ “เรียนเหมือนไม่มาเรียน” ทุกหลักสูตรมันมีคุณค่าของมันครับ
.
ผมก็รู้ว่า องค์ความรู้ที่ได้มันขาด ๆ แต่ความรู้มันไม่ได้อยู่แค่ในห้องเรียนนะครับ ผมจึงเรียกตัวเองเหมือน “บัณฑิตของโลกและประสบการณ์” เพราะอาจารย์ของผมไม่ใช่แค่คนจุฬาฯ หรือ ธรรมศาสตร์ หรือ ราชภัฏ แต่คือมนุษย์ทุกคนที่ผมได้พบเจอ หนังสือแต่ละเล่มที่ผมลุ่มหลง และประสบการณ์ตรึงใจที่ผมได้สัมผัส
.
คอร์สนอกแคมปัสของผมคือ :
1. สอนพิเศษ Kumon ได้แบบเรียนอังกฤษมาเยอะเลย
2. ร้านอาหารที่ตรอกข้าวสาร ได้เอาวิชาไปใช้จริง
3. พนักงานโรงแรม ได้เรียนการบริการ โดยไม่ต้องเข้าหลักสูตรการโรงแรม
4. พนักงาน KFC เป็นรายได้หลักช่วงเรียน
.
ทำให้ตอนเรียนผมหาเงินได้แล้วเดือนละ 13,000 บาท (เกือบค่าแรงขั้นต่ำเลยนะ) ตอนจบออกมา ผมมีเงินเก็บกว่า 200,000 บาท เพื่อตั้งต้นชีวิตการทำงาน แต่ก่อนหน้านั้น ผมลงทุนเกือบแสนไปหาประสบการณ์ Work and Travel ที่ลาสเวกัสมาก่อนด้วย 3 เดือนกว่า จนสั่งสมความมั่นใจและประสบการณ์พอควร
.
—-ความเห็นต่อเรื่องนี้—-
.
เห็นคนพูดกันถึง “โอกาส” “ความเท่าเทียม” “คนไม่เท่ากัน” ต่าง ๆ ใช่ครับ Objectively ถ้าสังคมไทยและเชิงนโยบายมันมีได้ จะเป็นเรื่องดี
.
แต่ในชีวิตจริง “คนเราไม่เท่ากันหรอกครับ” แต่ถ้าเราจะเป็นสังคมที่คนเท่ากัน มันเริ่มจากพวกเราที่ “มอง” คนที่แตกต่าง ไม่ว่าจะการศึกษา จุดยืนการเมือง และเพศวิถี “ให้เท่ากัน”
.
มานอนรอเปลี่ยนนายกฯ หรือรมว. การศึกษา มันก็แปลว่า พวกคุณดีแต่พูด และนอนรอความเปลี่ยนแปลงมาถึงตัว ทั้งที่ในห้วงสามัญสำนึก “คุณก็ยังเหยียดคนอื่น” อยู่ดี
.
ส่วนเด็กราชภัฏ ถ้าเราเอาคำพูดทับถมจากคนแปลกหน้า มาตีตราตัวเองว่า “เรามันมาตรฐานต่ำ” คุณจะยอมหรือ? สำหรับผม คุณค่าสถาบัน มันไม่เท่า “มูลค่าความเป็นคนหรอก” อยู่ที่ว่าเรามอบสิ่งดี ๆ ให้สังคม และคนที่รักได้แค่ไหน เราภูมิใจกับความเป็นตัวเอง ณ ปัจจุบันแค่ไหน…เชิดชูทุกความสำเร็จ ปราบปลื้มทุกก้าวย่าง แต่ไม่ต้องเปรียบเทียบกับใครหรอก
.
มหาวิทยาลัย ป.โท ในสหราชอาณาจักรของผม สอนผมว่า “จงซื่อสัตย์ อ่อนน้อมถ่อมตน เคารพต่อผู้อื่น และยึดมั่นในความจริง…ที่สำคัญ ปฏิบัติกับผู้อื่นด้วยความจริงใจ เข้าใจ และเคารพในตัวเขา เหมือนที่เราอยากให้คนอื่นปฏิบัติกับเรายังไง”
.
และ “จงประสบความสำเร็จและมีความสุข แต่จงมีความสุขมากกว่าความสำเร็จ เพราะสองสิ่งนี้แตกต่างกัน”
.
ถ้ามองจุดนี้ ก็อาจพิจารณาได้ว่า จุฬาฯ ล้มเหลวนะที่ถ่ายทอด “คุณค่าทางความคิด” และ “การมองเพื่อนมนุษย์” ไปให้นักศึกษาของตนไม่ได้….ในกลุ่มปัจเจกนั้น ๆ แบบไม่เหมารวม
.
และเอาจริง ๆ คุณจะรู้สึกอย่างไร ถ้าไปถามคนโลกที่ 1 ว่า “รู้ไหม ฉันจบ—-นะ” คำตอบของเขามันก็จะทำร้ายกลับมาแรงมากเหมือนกัน
.
...จากคนที่วิ่งมาตลอดชีวิต
...จากคนจบราชภัฏ ด้วยการเลือกของตัวเอง
...จากคนที่ชื่อสถาบัน มันไม่ใช่ตัวกำหนดชีวิต
...และปัจจุบัน ได้รับเชิญไปสอน นศ.จุฬาฯ ธรรมศาสตร์ และอีกหลายที่ ตามแต่โอกาสสมควร
สืบเนื่องจากการที่เพจสำนักช่างสิบหมู่ กรมศิลปากร ได้เผยแพร่ภาพและความหมาย ตราสัญลักษณ์พระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 90 พรรษา 12 สิงหาคม2565 สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ออกแบบโดย นายเกียรติศักดิ์ สุวรรณพงศ์ จิตรกรชำนาญการพิเศษ ผู้อำนวยการกลุ่มจิตรกรรม สำนักช่างสิบหมู่ กรมศิลปากร ว่า
.
สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงประกอบพระราชกรณียกิจนานัปการเคียงคู่ในหลวง รัชกาลที่ 9 พระราชจริยวัตรงดงาม พระองค์ทรงเป็นที่รักและเทิดทูนยิ่งของปวงชนชาวไทย นำมาสู่แรงบันดาลใจในการออกแบบตราสัญลักษณ์ ซึ่งทุกรายละเอียดมีความหมาย
.
อักษรพระนามาภิไธย ส.ก.อยู่ภายในกรอบรูปหัวใจพื้นสีฟ้า อักษร “ส” สีฟ้าเป็นสีประจำวันพระราชสมภพ อักษร “ก” สีขาว เป็นสีเดชของวันพระราชสมภพ พื้นกรอบสีชมพูลายดอกมะลิ สีชมพูเป็นสีแห่งศรีของวันพระราชสมภพ การให้สีดูละมุนละไม สื่อความเป็นผู้หญิงและพระเมตตา
.
ดอกไม้มะลิเป็นดอกไม้มงคลสัญลักษณ์วันแม่แห่งชาติ ทรงเป็นแม่ของแผ่นดิน ด้านบนเป็นพระมหามงกุฎภายในประดิษฐานพระแสงจักรและพระแสงตรี สื่อถึงทรงอยู่ในพระบรมราชจักรีวงศ์
.
ขนาบซ้าย ขวา พระมหามงกุฎด้วยพระสัปตปฎลเศวตฉัตร ฉัตรขาว 7 ชั้น เป็นฉัตรประกอบพระราชอิสริยยศของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง
.
“การนำดอกมะลิมาร้อยเรียงเป็นมาลัยลายเกลียวรูปหัวใจรอบอักษรพระนามาภิไธย ส.ก. สื่อถึงการร้อยเรียงดวงใจอย่างแน่นแฟ้นกลมเกลียวในโอกาสมหามงคล 90 พรรษา ถวายพระผู้ทรงเป็นศูนย์รวมดวงใจพสกนิกรไทยทั้งชาติ และผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐต่อลูก คือ ชาวไทยทุกหมู่เหล่าให้พ้นทุกข์ยาก
.
รูปลายหงส์ประคองฉัตร ซ้าย ขวา หมายถึง พระสิริโฉมสง่างามสูงค่าดังหงส์ ลวดลายไทย หมายถึงพระปรีชาด้านศิลปวัฒนธรรม พระราชทานกำเนิดศิลปาชีพ และทรงส่งเสริมเอกลักษณ์ชาติไทยให้แพร่หลายในไทยและต่างประเทศ
.
เลขไทย ๙๐ ภายใต้มาลัยหัวใจ สื่อถึงเลขมงคลที่ทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ 90 พรรษา เป็นความภาคภูมิใจของจิตรกรไทยคนหนึ่งได้ถวายงานอย่างสุดความสามารถ ตราสัญลักษณ์ที่สร้างสรรค์ขึ้นได้นำไปใช้จัดงานเฉลิมพระเกียรติต่าง ๆ ทั้งยังร่วมอนุรักษ์จิตรกรรมไทยโบราณผสมผสานศิลปะสมัยใหม่สู่ตราสัญลักษณ์ที่มีความร่วมสมัย ไม่ละทิ้งเอกลักษณ์ของชาติไทย” นายเกียรติศักดิ์ กล่าว
เสร็จทัน “วันเฉลิม ฯ” แน่นอน ศิลปะแห่งรักและศรัทธา จากทีม “สตรีทอาร์ท คิงภูมิพล”
อดีตครูสอนประวัติศาสตร์ ร่วมชื่นชมกลุ่มสตรีทอาร์ท วาดพระบรมสาทิสลักษณ์ ในหลวงรัชกาลที่9 และในหลวงรัชกาลที่10 บริเวณลานพญาศรีสัตตนาคราช กล่าวถึงพระบารมีในหลวงทุกรัชกาลที่ปกป้องบ้านเมือง มาจนถึงทุกวันนี้
.
จากเมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม ที่ผ่านมา ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่บริเวณลานพญาศรีสัตตนาคราช ทีม “สตรีทอาร์ท คิงภูมิพล” กำลังบรรจงวาดพระบรมสาทิสลักษณ์ ในหลวงรัชกาลที่ 9 และในหลวงรัชกาลที่10 ที่ผนังอาคาร ซึ่งเหลือการเก็บผลงานซึ่งเป็นรายละเอียดปลีกย่อย งานเดินไปได้กว่า 80 เปอร์เซ็นต์ เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ และมีผู้ที่มาร่วมชื่นชมหลายท่านมาให้กำลังใจ หนึ่งในนั้นคือ อาจารย์วรวาที คำวงษา อายุ 83 ปี อดีตข้าราชการครูเกษียณ ได้เล่าให้ผู้สื่อข่าวฟังว่า ตนเองอดีตเป็นอาจารย์สอนวิชาสังคมศึกษาและประวัติศาสตร์ด้วย ที่โรงเรียนปิยะมหาราชาลัย จังหวัดนครพนม มีความชื่นชมกับในหลวงทุกพระองค์ เพราะว่าทุกพระองค์มีความสามารถที่ปกป้องรักษาประเทศชาติของเราไว้ได้มาจนถึงทุกวันนี้ หลังจากทราบข่าวถึงกิจกรรม “สตรีทอาร์ต คิงภูมิพล ศิลปะแห่งรักและศรัทธา มหาราชาภูมิพล” ก็ให้ลูกสาวซึ่งเป็นอาจารย์สอนหนังสือเหมือนกัน พามาชื่นชมผลงานทุกวัน พร้อมเป็นกำลังใจให้กับทีมศิลปินผู้มาวาดภาพ
.
บรรยากาศในภาพรวม มีพ่อค้า ประชาชน นักท่องเที่ยว ยังคงทยอยมาชื่นชม กลุ่มศิลปินจิตอาสานำโดยครูอะไหล่และทีมงาน “สตรีทอาร์ทคิงภูมิพล” อย่างต่อเนื่องหลายภาคส่วน และได้นำเครื่องดื่ม อาหาร มามอบให้ศิลปินจิตอาสา ตลอดทั้งวัน
.
ส่วนในช่วงเย็นครูอะไหล่ พร้อมทีมงาน“สตรีทอาร์ทคิงภูมิพล” ไปร่วมกิจกรรมกับ “ชมรมนกเป็ดน้ำโขง”นครพนมลงว่ายน้ำในแม่น้ำโขง อย่างชื่นใจสบายอารมณ์ ก่อนจะขึ้นมา สรรสร้างวาดภาพต่อ และก่อนการวาดภาพมี นางสาวกนกวรรณ ดุงศรีแก้ว ผอ. ททท. ร่วมกับ พล.ต.ต.ธนชาติ รอดคลองตัน ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนครพนม มอบอาหารว่างให้กับกลุ่มศิลปินพร้อมกับชื่นชมในการทำงานในครั้งนี้ด้วย
.
ในส่วนพิธีมอบภาพวาดพระบรมสาทิสลักษณ์ ในวันที่ 28 กรกฎาคม 2565 เริ่มตั้งแต่เวลา 10.20 น.เป็นต้นไป รับฟังเพลงพระราชนิพนธ์ จากวงดุริยางค์ มณฑลทหารบก 210 เต็มวง และมีการถวายราชสดุดีในวันเดียวกันนี้ด้วย
เป็นที่ทราบกันดีกว่า ความสัมพันธ์ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวกับพระเจ้าซาร์แห่งรัสเซีย คือสมเด็จพระจักรพรรดินิโคลัสที่ ๒ นั้น เป็นมิตรภาพที่ลึกซึ้งและจริงใจต่อกันมาตั้งแต่ครั้งเจ้าชายนิโคลัสยังทรงเป็นมกุฎราชกุมาร เสด็จพระราชดำเนินมาเยือนสยามในปี พ.ศ.๒๔๓๔ และเมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯเสด็จไปเยือนรัสเซียในปี ๒๔๔๐ ขณะเจ้าชายนิโคลัสได้ขึ้นครองราชบัลลังก์แล้ว พระเจ้าซาร์ทรงจัดให้ฉายพระรูปคู่ของกษัตริย์ ๒ พระองค์ออกเผยแพร่ไปทั่วยุโรปในช่วงเวลาที่สยามกำลังถูกคุกคามอย่างหนักจากนักล่าอาณานิคม จึงเป็นภาพที่มีผลต่อประวัติศาสตร์ชาติไทยอย่างมาก แต่ความสัมพันธ์ของทั้ง ๒ พระองค์ ยังลึกซึ้งกว่านั้นอีกอย่างน่าอัศจรรย์
.
ในการเสด็จเยือนยุโรปครั้งที่ ๑ ในปี ๒๔๔๐ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินโดยเรือพระที่นั่งจักรี ออกจากท่าราชวรดิฐในวันที่ ๗ เมษายน ไปขึ้นฝั่งที่เมืองเวนิชในวันที่ ๑๔ พฤษภาคม และเสด็จเยือนยุโรปหลายประเทศ ก่อนจะถึงเป้าหมายที่สำคัญคือรัสเซีย
.
เมื่อเสด็จไปถึงวอร์ซอ เมืองหลวงของโปแลนด์ ซึ่งอยู่ในความปกครองของรัสเซีย สมเด็จพระจักรพรรดินิโคลัสก็ทรงส่งโทรเลขมาต้อนรับด้วยความยินดีแล้ว และเมื่อรถไฟพระที่นั่งถึงสถานีเมืองปิเตอร์ฮอฟ ซึ่งเป็นที่ตั้งพระราชวังฤดูร้อน ทันทีที่ก้าวพระบาทลงสู่สถานี พระเจ้าจักรพรรดินิโคลัสในเครื่องแบบเต็มยศ ประดับเครื่องราชอิสริยาภรณ์มหาจักรี ที่ได้รับพระราชทานเมื่อครั้งเสด็จมาเยือนสยาม พร้อมพระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชการก็เข้ามาต้อนรับ พระยาศรีสหเทพ (เส็ง วิริยศิริ) ได้บันทึกตอนนี้ไว้ใน “จดหมายเหตุเสด็จประพาสยุโรป ร.ศ.๑๑๖” ไว้ว่า “...พระมหากษัตริย์ทั้งสองพระองค์มีพระราชหฤทัยโสมนัสยินดี ต่างพระองค์ทรงคำนับและทรงกอดรัดจุมพิตตามขัตติยราชประเพณี...”
.
การจัดการต้อนรับพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ ของสมเด็จพระจักรพรรดินิโคลัสนั้น ยิ่งใหญ่และอบอุ่นยิ่ง ซึ่งพระยาศรีสหเทพบันทึกไว้ว่า
.
“ในพระราชวังปีเตอร์ฮฟที่ประทับนี้ สมเด็จพระเจ้าเอมเปรอจัดให้แต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวประทับ มีห้องสำหรับพระเจ้าน้องยาเธอ พระเจ้าลูกยาเธอ และราชองครักษ์ ในพระราชวังเดียวกัน ส่วนข้าราชการจัดให้พักที่บ้านมิคกันเบิร์กในเขตพระราชวังปิเตอร์ฮฟ แต่ไกลจากที่ประทับประมาณ ๒๐ เส้นเศษ ในพระราชวังปิเตอร์ฮฟนี้จัดตกแต่งงามเต็มที่อันพึงจะจัดได้ สิ่งใดที่จะเป็นของประกอบให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระราชสำราญเจ้าพนักงานจัดให้มีทุกอย่าง ข้างหน้าพระราชวังเป็นสวนชายทะเลมีถนนไปมาและต้นไม้อันงาม ในหมู่ต้นไม้เหล่านี้มีน้ำพุขึ้นสูงราวกึ่งเส้นเป็นอันมากแลดูขาวไสว แลสองฟากถนนลงทะเลตรงพระราชวังลงไปมีน้ำพุ ๒ แถว ปานว่าเป็นต้นไม้แก้วงามมาก ทั้งในเวลานี้เจ้าพนักงานจัดจุดประทีปและแต่งกายเป็นเกียรติยศทั่วในเมืองปิเตอร์ฮฟ ความงามของการตกแต่งรับรองและความงามในที่ใกล้เคียงพระราชวังเหลือที่จะพรรณนาด้วยตัวหนังสือได้
.
ในเวลาเย็นวันนี้ (๔ กรกฎาคม ค.ศ.๑๘๙๗) สมเด็จพระเจ้าเอมเปรอกรุงรัสเซีย ทูลเชิญพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พร้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์ และข้าราชการบรรดาตามเสด็จพระราชดำเนิน เสวยพระกระยาหารเย็นเป็นทางการ ณ ที่ห้องเปียระในวังปิเตอร์ฮฟ แต่งตัวเต็มยศ ประดับเครื่องราชอิสริยาภรณ์...ครั้นถึงเวลาเลี้ยงของหวาน สมเด็จพระเจ้าเอมเปอเรอกรุงรัสเซียทรงยืนขึ้นมีพระราชดำรัสว่า ข้าพเจ้ามีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ต้อนรับพระองค์ในเมืองของข้าพเจ้า และข้าพเจ้าได้มีโอกาสขอบพระทัยที่ได้ทรงเมตตารับรองข้าพเจ้าในเวลาที่ข้าพเจ้าไปถึงกรุงสยาม ข้าพเจ้ายังจำได้ดีที่ได้ทรงต้อนรับข้าพเจ้าโดยทรงเมตตาอย่างเพื่อนอันสนิทในพระนครของกรุงสยามได้ดีทุกอย่าง ข้าพเจ้าขอดื่มถวายชัยมงคลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกรุงสยาม บรรดาผู้นั่งโต๊ะดื่มถวายชัยมงคลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพร้อมกันแล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงยืน มีพระราชดำรัสตอบว่า “ข้าพเจ้ามีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้มาเฝ้าพระองค์ถึงกรุงรัสเซีย การที่พระองค์ได้เสด็จไปยังกรุงสยามนั้น ข้าพเจ้าและคนทั้งหลายในกรุงสยามยังจำได้โดยความยินดี ข้าพเจ้าถือว่าพระองค์เป็นมิตรผู้ทรงพระเดชานุภาพ ข้าพเจ้ามีความพอใจในการที่ได้ทรงจัดการต้อนรับข้าพเจ้าเป็นอันมาก ข้าพเจ้าขอขอบพระทัยจากดวงจิตของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าขอดื่มถวายชัยมงคลสมเด็จพระเจ้าเอมเปรอกรุงรัสเซีย”
.
ในพระราชหัตถเลขาส่วนพระองค์ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯที่พระราชทานแด่สมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระบรมราชินีนาถ ซึ่งทรงทำหน้าที่ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์อยู่ทางกรุงเทพฯ ฉบับที่ ๓๘ มีความตอนหนึ่งว่า
.
“ด้วยฉันตั้งใจจะเขียนหนังสือแต่หาช่องไม่ได้ เต็มไปด้วยการรับรองทั้งสิ้น การที่วันนี้เราเป็นกันเองมากกว่าอย่างอื่น แต่การที่เป็นยศศักดิ์ก็ไม่ขาดด้วย จึงได้มากมายนักไม่มีเวลาแต่งอย่างอื่น นอกจากเต็มยศกับครึ่งยศดำ แต่มาถึงวันนี้มีเวลาพบกับเอมเปอเรอและเจ้านายเสมอไม่ใคร่ขาด ดูเหมือนเราเป็นคนหนึ่งในพี่น้องเอมเปรสส์แม่ (สมเด็จพระชนนีของสมเด็จพระเจ้าจักรพรรดินิโคลัส) และเอมเปรสส์สาว (สมเด็จพระจักรพรรดินี) อี๋ (เอาอกเอาใจ)ไปทั้งสิ้น เวลาเต็มหมด ไม่ได้กินข้าวบ้านเลยสักเวลาเดียว ส่วนราชการก็เดินดี...แต่ที่รัสเซียนี้เป็นไปคนละอย่างกับที่อื่น คือใครๆในเจ้านายโจมถึงตัวฉันกันทั้งนั้น ขุนนางเกือบไม่ได้ปนเลย ที่สุดจนเจ้านาย ถ้าเป็นเวลาเจ้านายเขาไปจึงจะเข้าได้ หาไม่ก็มีแต่ฉันกับเอมเปอเรอขลุกกันอยู่ ๒ คนเท่านั้น ไปไหนก็ไปกัน ๒ คน ไม่มีใครตาม เที่ยวเตร่ไปแต่สารถีคนเดียว”
.
ในพระราชหัตถเลขาฉบับที่ ๓๙ ทรงย้ำถึงความสนิทสนม จนการพบปะหารือของทั้งสองพระองค์ไม่มีพิธีการใดๆ ดังความว่า
.
“...เมื่อวานนี้รวมเบ็ดเสร็จอยู่ด้วยกันกับเจ้านายและเอมเปอเรอถึงหกชั่วโมง มีเวลาว่างก็พูดราชการกับเคานต์มูราเวียฟ (เสนาบดีกระทรวงต่างประเทศ) แลทำโทรเลขส่งบางกอก ฉันกับเอมเปอเรอนั้นพูดราชการกันในรถทั้งนั้น ไปกันแค่สองคนนานๆ”
.
พระราชไมตรีได้งอกงามจนถึงขีดสุด ความสัมพันธ์ของสองราชวงศ์ได้กลายเป็นความรักความผูกพันดุจเครือญาติ ดังได้ทรงพระราชหัตถเลขาถึงสมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี ลงวันที่ ๑๐ กรกฎาคม มีความว่า
.
“ฉันไม่สามารถจะพรรณนาได้ว่าฉันรู้สึกยินดีปานใดที่ได้กลับมาถึงที่นี้อีก (กลับมาจากเยือนเมืองมอสโค) ได้กอดได้จูบกับเอมเปอเรอหลายครั้ง แล้วขึ้นรถไปที่เอมเปรสด้วยกัน ฉันได้นำลูกชายของเราให้เฝ้าทั้งเอมเปอเรอและเอมเปรส ทรงพระกรุณาแก่เขาเป็นอันมาก เอมเปรสประธานเข็มกลัดแก่เธอเป็นรูปมหามงกุฎของประเทศนี้ ซึ่งเป็นของทำเฉพาะสำหรับพระราชทานแก่เอมเปรสและดัชเชสทั้งหลายในเวลาราชาภิเศกนั้น และเป็นเครื่องหมายสำคัญของผู้ซึ่งเป็นพระประยูรญาติในพระบรมราชวงศ์นี้ ซึ่งเอมเปรสรับสั่งว่าทรงนับว่าเธอก็อยู่ในพระบรมราชวงศ์นี้ด้วยผู้หนึ่ง ได้รับพระบรมรูปของสมเด็จพระเจ้าเอมเปอเรออเล็กซานเดอร์ที่ ๓ ซึ่งเป็นที่เคารพนับถือเป็นอันมาก กับซองบุหรี่ซิการ์แรตที่มีอักษรจารึกว่า “ของเพื่อนให้” ฉันชอบสองสิ่งนี้ว่ามีราคามากยิ่งกว่าของสิ่งอื่นๆที่ฉันได้รวมกันทั้งหมด แล้วได้พร้อมกับสมเด็จเอมเปรสพระราชชนนี (สมเด็จพระราชชนนีของสมเด็จพระจักรพรรดินิโคลัส) ซึ่งได้ทรงรับรองพวกเรานั้น แลเอมเปรสพระราชชนนีได้รับสั่งซ้ำอยู่หลายครั้งว่า ทรงรู้สึกคิดถึงฉันในเวลาที่ฉันไม่อยู่นั้น เอมเปรสพระราชชนนีได้ประธานซองบุหรี่ซิการ์แรต มีอักษรจารึกเหมือนกันกับที่ฉันเขียนจารึกบนพระรูปนี้ด้วย เอมเปรสพระราชชนนีได้รับสั่งถึงเธอด้วยพระกรุณาอย่างยิ่ง ทรงส่งกำไรมือประดับเพงชรแลไข่มุกอันงามมาประทานเธอด้วย เอมเปรสพระราชชนนีได้ทรงเมตตาแก่มกุฎราชกุมารด้วยเสมอกัน พวกเราได้กินกลางวันกับเอมเปรสพระราชชนนีนั้น ฉันรู้สึกเหมือนดังอยู่ในเรือนญาติอันสนิท เหมือนไม่ต้องมีพิธีรีตองอันใด ไม่ต้องไว้เกียรติอันใดต่อกันเลย เราเล่นหัวโลดเต้นเหมือนดังอยู่ในบ้านเรือนของเราเองฉะนั้น พระรูปของเอมเปรสที่ถ่ายที่หลังสุดนั้นไม่สู้ดี ได้ทรงถ่ายใหม่ในวันนี้ ซึ่งเอมเปรสพระราชชนนีรับสั่งว่าจะส่งตรงไปทำให้เธอประหลาดใจที่ได้รับนั้นทีเดียว ช่างถ่ายรูปหลวงของกรุงสยาม ตามที่พวกเราเรียกเขาเช่นนี้ ก็คือแกรนด์ดุกไมเคอร ได้ถ่ายรูปพวกเราพร้อมด้วยเอมเปรสและพระราชบุตรทั้ง ๒ ของเอมเปรสด้วย เชื่อว่าคงสำเร็จได้ด้วยดี ฉันอยากให้เธอมาที่นี่ด้วยกันจริงๆ เธอจะได้เห็นความสุขสบายแลความรักที่มีต่อกันในพระราชวงศ์นี้ ฉันยังไม่เคยเห็นครอบครัวที่มีความสุขแลรักใคร่ต่อกันสนิทสนมเช่นนี้เลย ได้อยู่ที่นั่นหลายชั่วโมงแล้ว เอมเปอเรอเสด็จมาพร้อมกับฉันถึงที่ห้องฉัน ค่ำวันนี้จะกินอาหารเย็นที่วังเอมเปอเรอ”
.
ภาพแห่งความผูกพันแลอาลัยรักของทั้งสองพระราชวงศ์ได้ปรากฏอย่างแจ่มชัดในวันที่พระบรมวงศานุวงศ์ของทั้ง ๒ ราชวงศ์ต้องพรากจากกัน ในพระราชหัตถเลขาพระราชทานสมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี มีความว่า
.
“ด้วยวันนี้เบร็กฟัส (อาหารเช้า) ส่งเจ้านายทั้งปวงช่างคุ้นเป็นกันเองไปหมด เอมเปรสพระราชชนนีเกือบจะทรงพระกรรแสง สั่งแล้วสั่งเล่ารับปวาราณาจะคิดว่าฉันเป็นลูก ฉันก็คิดว่าเป็นแม่ตั้งแต่นี้ไป ทุกวันเป็นแต่จูบกัน วันนี้ตกลงเป็นแม่ลูกกันแล้ว เอียงพระปรางให้ฉันจูบ บรรดาลูกทั้งผู้หญิง ผู้ชาย ต่างคนต่างจูบกันกับฉันทุกคน ลูกเราเอมเปรสก็เข้าไปจูบเป็นหลานไปหมดทั้งนั้น”
.
“ลูกเรา” นี้ ก็คือพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวซึ่งยังทรงเป็นมกุฎราชกุมาร
.
ความสัมพันธ์ของ ๒ ราชวงศ์ที่ต่างทวีป ต่างผิวพรรณ ต่างศาสนาและขนบธรรมเนียม ซึ่งเกิดขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์นี้ เป็นความประทับใจที่ปรากฏอยู่ในประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์ระหว่างไทยและรัสเซีย ขอขอบคุณข้อมูลจาก “พระสหายกับเอกราชสยาม” วารสารรัสเซียศึกษา (ฉบับพิเศษ) ของศูนย์รัสเซียศึกษาแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดย ดร.รมย์ ภิรมนตรี ซึ่งยังมีรายละเอียดกว่านี้อีกมาก
ที่มา https://mgronline.com/onlinesection/detail/9650000070135
แคมเปญ “ทำให้ IG ให้เป็น IG” อย่าพยายามไปเป็น TikTok การรณรงค์เพื่อที่จะยังเห็นภาพนิ่งสวย ๆ ต่อไป
อย่างที่รู้กันว่าตอนนี้ Meta บริษัทแม่ของ Facebook และ Instagram กำลังพัฒนาและผลักดันฟีเชอร์ต่าง ๆ บนแพลตฟอร์มให้สามารถสู้กับ TikTok ได้มากยิ่งขึ้น
.
โดยเฉพาะ Instagram ที่ประกาศชัดเจนว่า ต่อไปนี้จะไม่ใช่แอปรูปภาพอีกต่อไป แต่จะเป็นแอปวิดีโอ.. รวมถึงล่าสุด ก็ได้มีการประกาศถึงแผนการอัปเดตแพลตฟอร์ม ที่เห็นได้ชัดเลยว่า Instagram ต้องการผลักดันให้ Reels มาสู้กับ TikTok มากขึ้น.. เช่น มีการเพิ่มฟีเจอร์ที่จะเอื้อให้ผู้ใช้ทั่วไปที่ไม่ใช่ครีเอเตอร์ สามารถสร้าง Reels ของตัวเองได้ง่ายขึ้น และบังคับให้วีดีโอทั้งหมด ที่มีความยาวน้อยกว่า 15 นาที บนแพลตฟอร์ม จะต้องถูกแชร์เป็น Reels ทั้งหมด
.
แต่ดูเหมือนว่า การปรับตัวของ Instagram ในสายตาของผู้ใช้งานแล้ว ไม่ใช่การทำเพื่อต่อกรกับ TikTok แต่เป็นการพยายามเป็น TikTok เสียเองซะมากกว่า..ซึ่งก็ทำให้ผู้ใช้งานหลายคนไม่พอใจ เพราะแอปกำลังสูญเสียตัวตนและจุดยืนของตัวเองไป
.
และล่าสุด ก็มีคนเรียงร้องให้ Instagram หยุดเดินตามรอย TikTok เสียที โดยเขา (ใช้นามว่า Tati Bruening) ได้สร้างแคมเปญรณรงค์บน change.org ในชื่อแคมเปญ “MAKE INSTAGRAM INSTAGRAM AGAIN”
(Stop trying to be TikTok, I just want to see cute photos of my friends.) หรือแปลว่า “ทำให้ Instagram กลับมาเป็น Instagram เหมือนเดิมอีกครั้ง”(ฉันแค่อยากเห็นรูปน่ารัก ๆ ของเพื่อน ๆ เท่านั้น)
.
โดยในรายละเอียดของแคมเปญนี้ จะมีการร้องเรียนถึง Instagram ในประเด็นต่าง ๆ ที่ผู้ใช้งานต้องการ อาทิ
• นำฟีดแบบไทม์ไลน์ ที่เรียงตามลำดับเวลา กลับมา..Instagram ไม่จำเป็นต้องทำอะไรที่ซับซ้อนมากเกินไป ผู้ใช้งานแค่ต้องการเห็นรูปภาพของเพื่อน เวลาที่พวกเขาโพสต์มัน การเรียงโพสต์ตามเวลา เป็นวิธีที่ดีที่สุดที่เราจะได้เห็นโพสต์ของเพื่อน ๆ
• หยุดพยายามที่จะเป็น TikTok ! TikTok ก็คือ TikTok Instagram ก็คือ Instagram แต่ละแอปต่างมีจุดเด่นและเหตุผลที่เกิดขึ้นมา เป็นของตัวเอง การที่ Instagram พยายามเป็น TikTok ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น อย่าง ฟีเชอร์วิดีโอสั้น Reels บน Instagram ก็มีแต่วิดีโอที่ถูกรีไซเคิลมาจาก TikTok อีกที เป็นคอนเทนต์ที่เก่า มีคนเคยดูแล้ว และไม่มีความแปลกใหม่ หรือโดดเด่นอะไร
• โฟกัสกับ อัลกอริทึม ที่เอื้อต่อรูปภาพ ! จงอย่าลืมรากเหง้า และความตั้งใจเริ่มแรกของการปลุกปั้น Instagram ซึ่งถือเป็นจุดแข็งที่สุดของแอป นั่นก็คือ “การแชร์รูปภาพ” โดยผู้คนหลงรักการใช้งาน Instagram ก็เพราะฟีเชอร์ที่เกี่ยวกับรูปภาพ เพราะฉะนั้นอย่าหลงทาง..
• หัดเป็นแพลตฟอร์มที่รับฟังเสียงของ ครีเอเตอร์ ! จงฟังเสียงหรือฟีดแบ็กจากครีเอเตอร์และคอมมิวนิตี้ ให้มากขึ้นรู้ไหมว่า การปรับเปลี่ยนอัลกอริทึมแต่ละครั้ง ส่งผลต่อครีเอเตอร์ที่ทำมาหากินบนแพลตฟอร์มนี้ แถมเป็นการบังคับให้เหล่าครีเอเตอร์ ต้องเปลี่ยนทิศทางการทำคอนเทนต์และไลฟ์สไตล์ทั้งหมดเพื่อให้เอื้อกับอัลกอริทึมใหม่อยู่ตลอดเวลา..
.
ทั้งนี้ ปัจจุบันแคมเปญรณรงค์ “MAKE INSTAGRAM INSTAGRAM AGAIN” มีผู้ลงชื่อสนับสนุนแล้วกว่า 70,000 ราย ตาม Link นี้ https://www.change.org/p/make-instagram-instagram-again-saveinstagram